คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5(ฉบับปี พ.ศ.2477) แต่ตายจากกันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ฉบับปี พ.ศ.2519)แล้ว การแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องนำกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ขณะสมรสมาใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นหลานนายจอน สุขศรี ผู้ตายซึ่งได้ทำพินัยกรรมยกที่นา 2 แปลง ที่ดินปลูกบ้าน 2 แปลงให้แก่โจทก์ ก่อนตายนายจอนได้โอนที่นา 1 แปลงตามพินัยกรรมให้โจทก์แล้ว เมื่อนายจอนตาย โจทก์จึงเป็นผู้รับมรดกที่ดินอีก 3 แปลง ต่อมาจำเลยซึ่งย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ไปทำการรังวัดที่ดิน 3 แปลงตามพินัยกรรมเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นของโจทก์ตามพินัยกรรม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจอนสุขศรี โดยสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรัพย์สินทั้งหมด จึงเป็นของนายจอนกับจำเลยร่วมกัน จำเลยไม่เคยยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้โจทก์ จำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองตลอดมา จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย โจทก์ไปร้องคัดค้านอ้างว่านายจอนทำพินัยกรรมยกให้โจทก์แล้ว พินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอมหรือเป็นโมฆะเพราะโจทก์ลงชื่อเป็นผู้รับในพินัยกรรมถือว่าเป็นพยานรู้เห็นด้วย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่งห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์สองในสามส่วน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายจอนกับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 นายจอนได้ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมาในระหว่างเป็นสามีภริยากับจำเลย ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรส และนายจอนได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า นายจอนตายระหว่างใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายนี้บังคับในเรื่องการแบ่งสินสมรสระหว่างนายจอนกับจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีดังกล่าวได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาตรา 4 บัญญัติว่า “บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติ มาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477” ซึ่งมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ว่า “บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทบกระเทือนถึง (1) การสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้และทั้งสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแก่การสมรสนั้น ๆ” ฉะนั้นในกรณีเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสระหว่างนายจอนผู้ตายกับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 จึงต้องนำเอากฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ในขณะนั้นมาใช้บังคับเทียบตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2486 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้แบ่งที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของนายจอนสองในสามส่วนและตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย

Share