แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บุคคลที่อายุไม่ครบ 30 ปี (29 ปี 6 เดือน ) จดทะเบียนรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมย่อม+ แม้บุคคลนั้นจะมีชีวิตมาจนถึงแก่กรรมนับอายุได้เกิน 30 ปี แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการให้สัตยาบันเพราะไม่ใช่กรณีที่กฎหมายให้สัตยาบันได้
เกี่ยวกับกำหนดอายุของบุคคลที่จะรับบุตรบุญธรรมนี้เป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจอนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การภายหลังวันชี้สองสถานแล้วได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่านางนันทาได้จดทะเบียนรับเด็กหญิงอนุรีย์เป็นบุตรบุญธรรม บัดนี้นางนันทาได้ถึงแก่กรรมแล้วมีทรัพย์มรดกราคาประมาณ ๗๘,๖๐๐.๒๖ บาท เด็กหญิงอนุรีย์มีสิทธิจะได้รับมรดก ๑ ใน ๓ ส่วนและขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดที่ ๑๐๑๓๒ ตำบลสามเสนในอีก ๑ ใน ๓ ของราคาครึ่งหนึ่งจากที่ดินนั้น
จำเลยต่อสู้ว่าการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมนั้นเป็นโมฆะ และต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
หลังจากวันชี้สองสถานแล้วจำเลยร้องขอแก้ไขคำให้การว่า ขณะนางนันทาจดทะเบียนรับเด็กหญิงอนุรีย์เป็นบุตรบุญธรรม นางนันทาอายุไม่ครบ ๓๐ ปี จึงเป็นโมฆะโจทก์คัดค้านว่าไม่ควรอนุญาตตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐
ศาลแพ่งเห็นว่า เรื่องอายุของบุคคลที่จะรับบุตรบุญธรรมนั้นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อายุนางนันทายังขาดอีก ๖ เดือนจึงจะครบ ๓๐ ปี การจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนางนันทาเป็นโมฆะเด็กหญิงอนุรีย์โจทก์ไม่อยู่ในฐานะเป็นบุตรบุญธรรมอันชอบด้วยกฎหมายของนางนันทาผู้ตาย ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาส่วนแบ่งมรดก พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอแก้คำให้การภายหลังวันชี้สองสถาน เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ คดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลแพ่งไม่ควรสั่งอนุญาต และว่าการรับบุตรบุญธรรมเพียงทำไม่ถูกต้องครั้งหนึ่ง ต่อมาทำถูกต้องย่อมไม่เป็นโมฆะ เมื่ออนุมานได้ว่าใด้สัตยาบันแล้ว ควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๘๒ กำหนดว่า ” บุคคลผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี จะรับบุคคลผู้อื่นเป็นบุตรบุญธรรมก็ได้ “ที่กฎหมายกำหนดอายุบุคคลผู้จะรับบุตรบุญธรรมไว้เช่นนี้ เพราะถือว่าบุคคลผู้มีอายุครบ ๓๐ ปีขึ้นไปย่อมมีความรู้สึกผิดชอบพอในการที่จะรับผู้ที่ไม่ใช่สายโลหิตของตนเข้ามามีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรซึ่งกำเหนิดในครอบครัวแห่งวงศ์สกุลของตน กฎหมายจึงคุ้มครองป้องกันบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดอายุผู้รับบุตรบุญธรรมไว้ตั้งแต่ ๓๐ ปีขึ้นไปเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนข้อที่อ้างว่านางนันทาได้มีชีวิตมาจนถึงแก่กรรมเกิน ๓๐ ปี เท่ากับเป็นการให้สัตยบันอยู่ในตัวนั้นก็เห็นว่า เมื่อการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเป็นโมฆะแล้วการนั้นก็ไม่อาจให้สัตยาบันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๔
พิพากษายืน