คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อ้างว่าครอบครองที่ 100 ไร่ แต่ได้ทำเพียงกานไม้เป็นแนวไว้และถากถางทำคันเพื่อปลูกโรงบ้างเล็กน้อยในบางปีนอกนั้นยังเป็นป่าอยู่ดังเดิม ยังไม่พอแสดงว่ามีสิทธิครอบครอง

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเดิมนายกงมีที่นาแปลงหนึ่งอยู่ตำบลบ้านโพรงอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ต่อมานายกงได้แบ่งนานี้ออกเป็นสองส่วน ทางด้านใต้ให้แก่นายเถิกน้อย ทางด้านเหนือยกให้นายกิ่งโดยถือเอาจอมปลวกเป็นแนวเขต

ครั้นเมื่อ 10 ปีมานี้ นายเถิกน้อยจึงแบ่งที่ของตนยกให้โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ฝ่ายนายกิ่งก็ยกที่ทั้งหมดให้แก่จำเลย โจทก์ได้ครอบครองที่รายนี้มาจนต้นเดือนสิงหาคม 2494 โจทก์ได้ไถนาจากเหนือลงมาทางใต้ แล้วจำเลยก็บุกรุกเข้ามาดำนาปลูกข้าวในที่ซึ่งโจทก์ได้ไถทิ้งไว้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องอีก

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าหัวไร่ปลายนาจำเลย และเป็นแปลงเดียวกับที่นาฟางของจำเลย ที่เหล่านี้ผู้มีชื่อยกให้จำเลยประมาณ 8 ปีมาแล้ว จำเลยได้ครอบครองโดยสงบสุขและเปิดเผยตลอดมาถ้าที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงฟ้องของโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว ทั้งโจทก์ฟ้องเคลือบคลุมด้วย

คู่ความรับกันว่าที่พิพาทมีพื้นที่ตรงกับที่โจทก์ฟ้องและคำให้การจำเลย เนื้อที่ 20 ไร่เป็นที่ไร่และป่าปนกัน ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่โจทก์อ้างว่านายเถิกน้อยยกให้ ฝ่ายจำเลยว่านายกิ่งยกให้

ศาลจังหวัดสกลนครพิจารณาแล้วฟังว่า เดิมนายกงมีที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ เมื่อ 15 ปีมานี้นายกงได้แบ่งที่ดินให้นายเถิกน้อยและนายกิ่งคนละครึ่ง นายเถิกน้อยทำอยู่ 5-6 ปีก็ยกให้แก่โจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ แล้วนายกิ่งก็ยกที่ของนายกิ่งทั้งหมดให้แก่จำเลยเช่นเดียวกัน ระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลยมีจอมปลวกเป็นเขต ทั้งนายเถิกน้อยและโจทก์ได้ตัดถางป่าทำเป็นนาเพิ่มเติมทุกปี ถึงปีที่ 9 คือปีกลายโจทก์ก็ได้ทำอีก ครั้นต้นเดือนสิงหาคม 2494 จำเลยจึงได้เข้าแย่งทำในที่ซึ่งโจทก์ได้ไถไว้แล้วน่าเชื่อว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่นายเถิกน้อยยกให้โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองเรื่อยมา จึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่นา แม้จะมีเป็นไร่อยู่บ้างก็อีกน้อย ส่วนมากเป็นป่าไม้เต็งไม้รังและป่ากะเจียวซึ่งมิได้ทำประโยชน์อย่างไร โจทก์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่พิพาทด้านไหนยาวเท่าไร โจทก์ไม่มีสิทธิในที่รายนี้ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว ทางพิจารณาได้ความจากพยานโจทก์เองว่า ที่ซึ่งอ้างกันว่าเป็นของนายกงตั้ง 100 ไร่กว่านั้นแท้จริงก็คือป่า นายกงได้ฟันกานไม้เป็นแนวไว้ หาได้ลงหลักหรือปักรั้วไม่ นายกงนึกจะยกให้ใครก็พูดบอกกันเอง เช่นเมื่อนายกงจะให้นายเถิกน้อยก็พูดกันตัวต่อตัว นายเถิกน้อยจะยกให้โจทก์ก็พูดกันสองต่อสองอีก หาได้ชี้ให้เป็นกิจจะลักษณะไม่ ในที่สุดโจทก์จึงไม่รู้ว่าที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ด้านไหนยาวเท่าใด อนึ่งเมื่อครั้งนายกงอ้างว่าที่นั้นเป็นของนายกง นัยว่าเป็นนาเพียง 4-5 ไร่ อีกตั้ง 100 ไร่เคยเป็นป่าอยู่อย่างไรก็คงเป็นป่าอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเมื่อนายเถิกน้อยยกที่ส่วนหนึ่งให้โจทก์ โจทก์ก็ได้ทำเพียงถากถาง และทำคันเพื่อปลูกโรงขึ้นทางตะวันตกติดไปทางที่ของนายเถิกน้อย ปีที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ไม่ได้ทำเลยแม้ในปีที่ 4 ที่ 7 จะได้ทำเพิ่มเติมก็เล็กน้อยเต็มทีรวมทั้งเก่าและใหม่เพียง 2 ไร่เท่านั้น พอปีที่ 9 โจทก์ว่าเข้าทางเหนือซึ่งติดไปทางที่จำเลยจึงเกิดเรื่อง แล้วโจทก์ก็อ้างว่าที่พิพาทภายในเส้นแดงเป็นของโจทก์ทั้งหมด ครั้นเรื่องไปถึงอำเภอโจทก์กลับยินยอมโดยดีขอเอาที่พิพาทเพียง 10 ไร่ แต่จำเลยไม่ยอม ซึ่งถ้าโจทก์ถือว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลยแล้วโจทก์ยอมให้เขาทำไม ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ความเป็นไปของที่ในบริเวณนั้นตามเหตุผลที่กล่าวมานี้เห็นว่านายกงหรือนายเถิกน้อยหรือโจทก์ไม่ได้ทำอะไรในที่พิพาทให้เป็นชิ้นเป็นอัน พอที่จะแสดงว่าตนมีสิทธิครอบครองดีกว่าคนอื่นเลย คงมีแต่ว่าบุคคลทั้ง 3 นี้ นึกคิดเอาเองว่าตนเป็นเจ้าของป่าโดยไม่เคารพและคำนึงถึงกฎหมายลักษณะที่ดิน ดังนี้ศาลอุทธรณ์ปรึกษาคดีให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว

จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายชั้นฎีกา60 บาท แทนจำเลย

Share