คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับชำระหนี้และคืนกระบือที่โจทก์มอบให้จำเลยเป็นประกัน จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ขายกระบือให้จำเลยครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 5 ปี ได้กรรมสิทธิ์แล้วศาลชั้นต้นกะประเด็นให้สืบพยานข้อเดียวว่าเป็นกระบือที่วางประกันเงินกู้หรือว่าได้ซื้อขายกันเด็ดขาดไปแล้วดังนี้ คดีย่อมมีข้อนำสืบว่าได้ซื้อขายกันโดยไม่จดทะเบียนจำเลยได้สิทธิทางอายุความด้วยไม่จำกัดแต่เพียงได้กรรมสิทธิ์โดยการซื้อขายที่จดทะเบียนแล้วเท่านั้น

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อ 4-5 ปีมาแล้วนายจันบิดาโจทก์ได้กู้เงินจำเลยมา 500 บาท ได้มอบกระบือ 9 ตัวให้จำเลยยึดไว้เป็นประกันและใช้งานต่างดอกเบี้ย ภายหลังกระบือนั้นได้ตกลูกอีก 5 ตัว เมื่อ พ.ศ. 2494 นายจันทำพินัยกรรมยกกระบือนี้ให้แก่โจทก์ เดือนสิงหาคม 2494 นายจันถึงแก่กรรม โจทก์จึงได้รับกระบือเป็นมรดกตามพินัยกรรม โจทก์ได้ขอรับชำระหนี้ให้จำเลยและขอรับกระบือคืน จำเลยไม่ยอมรับ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงินจากโจทก์ 500 บาท แล้วคืนกระบือ 14 ตัวให้โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ก็ให้ใช้ราคา 3,000 บาท

จำเลยให้การต่อสู้ นายจันไม่เคยกู้เงินจำเลยแล้วมอบกระบือให้ไว้เป็นประกัน แต่นายจันและภริยาได้ขายกระบือให้เป็นสิทธิแก่จำเลย จำเลยได้เป็นเจ้าของครอบครองมา โดยชอบและเปิดเผยเป็นเวลา 5 ปีเศษแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว

ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าประเด็นมีว่าทรัพย์ที่เรียกร้องกัน เป็นทรัพย์วางประกันเงินกู้หรือว่าได้ขายขาดกันเสร็จไปแล้ว ศาลจึงกะประเด็นให้โจทก์นำสืบก่อน

ในวันพิจารณา ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความว่า การซื้อขายกระบือระหว่างนายจันกับจำเลยมีหลักฐานประการใด จำเลยแถลงว่าได้ทำหนังสือซื้อขายกัน แต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าพนักงานศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย

ศาลชั้นต้นเห็นว่าในวันชี้สองสถาน ศาลกะประเด็นให้คู่ความนำสืบแต่ข้อเดียวว่า กระบือที่เรียกร้องกันเป็นทรัพย์วางประกันเงินกู้หรือว่าได้ขายขาดกันเสร็จไปแล้ว ประเด็นข้ออื่นหากจะมีคู่ความไม่ได้โต้แย้งข้อนำสืบแต่ประการใด จึงเป็นอันยุติ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า การซื้อขายกระบือรายนี้มิได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ต้องตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 เมื่อตกเป็นโมฆะแล้ว กฎหมายถือเสมือนว่ามิได้มีการซื้อขายต่อกันเลย จึงไม่มีทางที่จำเลยจะชนะคดีโจทก์ พิพากษาให้จำเลยคืนกระบือ 14 ตัวให้โจทก์โดยโจทก์ต้องคืนเงิน 500 บาทให้จำเลยในขณะเดียวกันค่าธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการซื้อขายเป็นโมฆะนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เพราะศาลกำหนดประเด็นให้สืบแต่เพียงว่าทรัพย์ที่เรียกร้องกัน เป็นทรัพย์ที่วางเป็นประกันเงินกู้หรือขายกันเสร็จขาดแล้วเท่านั้นอนึ่งจำเลยเถียงว่าการซื้อขายกระบือที่ยังไม่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณนั้นทำกันเองได้ไม่เป็นโมฆะ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามทั้งกระบือเป็นสังหาริมทรัพย์เมื่อเจ้าของสละกรรมสิทธิ์ตามสัญญาซื้อขายให้จำเลยครอบครองมา 5 ปี กับ 2 เดือนแล้ว คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความที่จะเรียกร้องเอาคืน จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การซื้อขายกระบือซึ่งเป็นสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แต่ถ้าผู้ซื้อได้ครอบครองกระบืออันเป็นสังหาริมทรัพย์นั้นไว้โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี จำเลยผู้ครอบครองก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อกระบือรายพิพาทเสร็จเด็ดขาด และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 5 ปีเศษแล้ว ศาลจะสั่งงดสืบพยานจำเลยหาชอบไม่ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามกระบวนความ ค่าธรรมเนียมและค่าทนายชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นกำหนดให้ผู้แพ้คดีในชั้นพิจารณาพิพากษาใหม่เป็นผู้เสียตามเห็นสมควร

โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้กะประเด็นให้นำสืบข้อเดียวว่าทรัพย์ที่เรียกร้องกัน เป็นทรัพย์ที่วางเป็นประกันเงินกู้หรือจำเลยได้ซื้อกรรมสิทธิ์มาแล้ว ประเด็นข้ออื่นหากจะมีก็ต้องถือว่าคู่ความได้สละไม่เอาประโยชน์จากประเด็นนั้น ๆ แล้ว เพราะจำเลยมิได้คัดค้านหรือแถลงขอสืบไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยอาจได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382โดยจำเลยครอบครองมาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยติดกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปีนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่าในชั้นต้นจำเลยยกข้อต่อสู้ไว้ว่าจำเลยได้ซื้อกระบือไว้จากนายจัน และได้ครอบครองมาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันกว่า 5 ปีแล้วจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยคดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นจึงกะประเด็นนำสืบว่ามีอยู่ข้อเดียวคือ ทรัพย์ที่เรียกร้องกันเป็นทรัพย์ที่วางเป็นประกันเงินกู้หรือว่าได้ขายขาดกันเสร็จไปแล้วเพราะฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้จำเลยนำสืบว่าได้มีการซื้อขายกัน และจำเลยครอบครองมาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 5 ปีแล้วนั้น จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในประเด็นที่ว่า ได้มีการซื้อขายกันเสร็จไปแล้วหรือไม่นั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นไม่ เพราะถ้าจำเลยนำสืบฟังได้ดังข้อต่อสู้ก็ต้องถือว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น โจทก์จะเรียกคืนไม่ได้ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่จึงเป็นการชอบแล้ว

จึงพิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายชั้นฎีกาครั้งนี้แทนจำเลย 75 บาท

Share