คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทนายจำเลยทั้งสองทราบวันนัดชี้สองสถานแล้ว แต่ไม่มีฝ่ายจำเลยทั้งสองมาศาลในวันนัด ศาลชั้นต้นจึงได้ชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์ไป ถือได้ว่าทนายจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสองและถือว่าจำเลยทั้งสองทราบนัดด้วย การที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้อง จึงเป็นการจงใจไม่มาศาล แม้ทนายจำเลยทั้งสองทิ้งคดีตั้งแต่วันชี้สองสถานโดยไม่แจ้งนัดให้จำเลยทั้งสองทราบ จำเลยทั้งสองก็จะอ้างเป็นเหตุขอให้พิจารณาใหม่หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมค่าเสียหายถึงวันฟ้องรวม 428,451.03 บาท และค่าเสียหายอัตราร้อยละ 13 ต่อปีจากต้นเงิน 418,844.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าเงินที่ได้ยังไม่พอชำระหนี้ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการขอให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 418,844.07 บาท แก่โจทก์ พร้อมค่าเสียหายอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงิน 21,496.23 บาท นับแต่วันที่ 7ธันวาคม 2526 และจากต้นเงิน 397,347.84 บาท นับแต่วันที่17 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ค่าเสียหายคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6,450.62 บาท และ 3,156.34 บาท ตามลำดับหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 108442ตำบลบางซื่อ (บางเขนฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรที่จะให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานในวันที่ 20 มิถุนายน 2529 เวลา 13.30 นาฬิกา ทนายจำเลยทั้งสองได้ทราบวันนัดนั้นแล้ว แต่เมื่อถึงวันนัดดังกล่าว ฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลชั้นต้นจึงทำการชี้สองสถานไป โดยให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1 สิงหาคม 2529 เวลา 09.00 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์คงมีแต่ทนายโจทก์มาศาล ฝ่ายจำเลยทั้งสองไม่มา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสอง ได้บัญญัติว่า ให้คู่ความมาศาลในวันชี้สองสถาน ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลให้ถือว่าได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในวันนั้นแล้ว ดังนั้นเมื่อทนายจำเลยทั้งสองทราบกำหนดวันนัดชี้สองสถาน แต่ไม่ได้มาศาลในวันนัดดังกล่าว จึงถือว่าทนายจำเลยทั้งสองทราบกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดนัดในวันชี้สองสถานโดยชอบแล้วเพราะทนายจำเลยถือว่าเป็นคู่ความอยู่ในฐานะจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 1(7) เมื่อทนายจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ก็ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดดังกล่าวด้วย การที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองไม่มาศาล ในวันนัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้อง จึงเป็นการจงใจไม่มาศาล ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทนายจำเลยทั้งสองทิ้งคดีตั้งแต่วันชี้สองสถานแล้ว และไม่ได้แจ้งวันนัดให้จำเลยทั้งสองทราบทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะทำการไต่สวนแล้วจึงมีคำสั่งนั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความดังข้ออ้างของจำเลยทั้งสอง แต่เมื่อตามกฎหมายถือว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบวันนัดดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยทั้งสองจะขอให้พิจารณาคดีใหม่หาได้ไม่ หากจำเลยทั้งสองได้รับความเสียหายจากการกระทำของทนายจำเลยอย่างไร ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอากับทนายความคนนั้น”
พิพากษายืน

Share