คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3648/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนายหน้าติดต่อขายที่ดินให้จำเลยที่1สัญญาจะซื้อขายระหว่างบริษัทน.กับจำเลยที่1ได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ชี้ช่องจำเลยที่1จึงต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จแก่โจทก์ตามสัญญาการที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์กันระหว่างบริษัทน.กับจำเลยที่1ก็เนื่องจากบริษัทน.และจำเลยที่1ตกลงเลิกสัญญากันไม่ทำให้จำเลยที่1หลุดพ้นความรับผิดใช้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่โจทก์ ข้อความในสัญญาจะซื้อขายที่ระบุไว้ความว่าจำเลยที่1จะจ่ายค่านายหน้าในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้นไม่ใช่เงื่อนไขเพราะเงื่อนไขต้องเป็นเหตุการณ์ที่จะมีขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอนถ้าผู้ซื้อและจำเลยที่1ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเป็นอย่างอื่นหรือไม่เลิกสัญญากันก็ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายกันตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างแน่นอน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานบริหารของจำเลยที่ 1จำเลยได้ติดต่อขอให้โจทก์จัดการขายที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยให้คำมั่นว่าจะจ่ายบำเหน็จค่านายหน้า โจทก์เสนอขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บริษัทอุตสาหกรรมรังสิตจำกัด ในราคา 73 ล้านบาท และบริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิต จำกัด ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ตามการชี้ช่องของโจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิตจำกัด โจทก์เป็นกรรมการบริษัท จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่เนื่องจากการชี้ช่องของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้า บริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิต จำกัด ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยที่ 1 และขอลดเงินมัดจำที่จะต้องถูกริบ 11 ล้านบาท โดยยอมให้ริบเพียง 3 ล้านบาท การโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาไม่เกิดขึ้น สัญญาข้อ 5 ระบุไว้ว่าจำเลยที่ 1 จะจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขาย การเจรจาขอซื้อที่ดินตลอดจนตกลงเลิกสัญญา และการขอลดการริบเงินมัดจำ โจทก์เป็นผู้ติดต่อแทนบริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิต จำกัด ทั้งสิ้น การที่จำเลยที่ 1 ตกงจะจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าก็เพื่อให้บริษัทในครอบครัวของโจทก์จ่ายเงินค่าซื้อที่ดินน้อยลง การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 กับให้การว่า หากจำเลยที่ 1ตกลงให้ค่านายหน้า สัญญานายหน้าก็ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นเพียงเจ้าหน้าที่หรือผู้แทน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินค่านายหน้าแก่โจทก์1,825,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ยกฟ้อง โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนิคมอุตสาหกรรม-รังสิต จำกัด โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้บริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิต จำกัด เข้าทำสัญญาจะซื้อขาย และค่าบำเหน็จนายหน้าคิดเป็นเงิน 1,825,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ทราบข้อความในสัญญาและลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญา ต่อมามีการแก้ไขเอกสารหมาย จ.6 โดยเพิ่มเงินมัดจำเป็น 8 ล้านบาท และยืดเวลาการชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ครั้นถึงกำหนดผู้ซื้อได้ชำระเงินทั้งหมดให้จำเลยที่ 1 คงชำระเพียง 6 ล้านบาท ต่อมาผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวต่อกันตามเอกสารหมาย ล.6 แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ประเด็นข้อแรกที่จำเลยที่ 1 ฎีกาความว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้าตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 5 ประกอบด้วยข้อ 4 นั้น สัญญาดังกล่าวข้อ 4 วรรคแรกระบุว่า “เมื่อผู้ซื้อได้ชำระราคาให้แก่ผู้ขายครบถ้วนแล้วผู้ขายจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อหรือบุคคลอื่นใดที่ผู้ซื้อจะระบุชื่อ” และข้อ 5ระบุว่า “การซื้อขายที่ดินรายนี้มีนายหน้า ผู้ขายตกลงจะจ่ายค่านายหน้าร้อยละ2.5 ของราคาที่ขายดังระบุไว้ในข้อ 1 โดยจะจ่ายให้นายหน้าในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายนี้” ในเรื่องค่านายหน้านี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 วรรคแรก บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องได้ให้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว” ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเอกสารหมาย จ.6 ได้ทำกันสำเร็จแล้วเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ได้ชี้ช่อง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายหน้าตามสัญญา การที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันระหว่างผู้ซื้อกับจำเลยที่ 1 ก็เนื่องจากผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ตกลงเลิกสัญญากัน ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นความรับผิดใช้ค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่โจทก์ ทั้งข้อตกลงในการเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ล.6 นอกจากที่ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับจำเลยที่ 1ซึ่งไม่เกี่ยวข้องถึงโจทก์แล้ว ยังไม่ได้กล่าวถึงค่าบำเหน็จนายหน้าด้วย ส่วนข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 5 ที่ระบุไว้ความว่าจำเลยที่ 1 จะจ่ายค่านายหน้าในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้นไม่ใช่เงื่อนไข เพราะเงื่อนไขต้องเป็นเหตุการณ์ที่จะมีขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอน แต่การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 แม้เป็นเหตุการณ์ที่จะมีขึ้นในอนาคต แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่แน่นอน ถ้าผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเป็นอย่างอื่นหรือไม่เลิกสัญญากัน ก็ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อขายกันตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างแน่นอน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้า ประเด็นข้อต่อไปที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของผู้ซื้อเป็นตัวแทนผู้ซื้อมาติดต่อขอซื้อที่ดิน ตลอดจนขอเลิกสัญญา และโจทก์เป็นพยานในสัญญาพิพาท (เอกสารหมาย จ.6) การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและดำเนินคดีโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่าบริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิต จำกัดผู้ซื้อ เมื่อได้จดทะเบียนแล้ว ย่อมเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนสิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคลกับสิทธิและหน้าที่ของผู้เป็นหุ้นส่วนจึงต้องแยกพิจารณาต่างหากจากกัน การที่โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้ผู้ซื้อเข้าทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นไปตามสัญญานายหน้าส่วนนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับจำเลยที่ 1 เป็นไปตามสัญญาจะซื้อขายเพราะเป็นคนละสัญญาและมิใช่เป็นคู่สัญญารายเดียวกัน ทั้งโจทก์ก็ทำสัญญานายหน้ากับจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวของโจทก์เอง มิได้เกี่ยวข้องกับบริษัทนิคมอุตสาหกรรมรังสิตจำกัด แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่านายหน้าจากจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตหรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share