คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์มิได้แจ้งสิทธิในการยื่นคำร้องขอพิจารณาการประเมินใหม่ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มาตรา 40 วรรคแรก ไม่มีผลทำให้การประเมินไม่ชอบเนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้สิทธิแก่ผู้รับประเมินในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่โดยขยายระยะเวลาเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน
การโต้แย้งคัดค้านการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินจะต้องทำเป็นหนังสือโดยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แบบ ภ.ร.ด.9 ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ มาตรา 25 และมาตรา 26 เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในหนึ่งปีนับแต่ได้รับแจ้งการประเมิน จำนวนภาษีที่ประเมินจึงเป็นจำนวนเด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ มาตรา 27

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรือนประกอบกิจการโรงเรียนนานาชาติและได้แบ่งการใช้ประโยชน์ในอาคารแต่ละหลังของโรงเรือนดังกล่าว คือ อาคารตึก 1 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร ใช้เป็นสำนักงาน อาคารตึก 2 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 6 เมตร ยาว 40 เมตร ใช้เป็นห้องเรียน ห้องสมุด และห้องวีดีโอ อาคารตึก 1 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 6 เมตร ยาว 24 เมตร ใช้เป็นห้องเรียน 3 ห้อง อาคารตึก 1 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร ใช้เป็นห้องเรียนนักเรียนฟิลิปปินส์ อาคารตึก 1 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 7 เมตร ยาว 40 เมตร ใช้เป็นห้องเรียน 4 ห้อง และอาคารโครงการเหล็ก 1 ชั้น มีขนาดพื้นที่กว้าง 10 เมตร ยาว 30 เมตร ใช้เป็นโรงอาหาร จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 จำเลยได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.2) ประจำปีภาษี 2535 ถึงปีภาษี 2540 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงได้ทำการประเมินภาษีทั้ง 6 ปีภาษี
พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้แจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 ถึงปีภาษี 2540 ให้จำเลยรับทราบแล้ว จำเลยได้รับแจ้งการประเมินแล้วมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แต่อย่างใด จำนวนเงินค่าภาษีจึงถือเป็นจำนวนเด็ดขาด นอกจากนี้ภายในกำหนด 30 วัน นับถัดจากวันที่จำเลยได้รับแจ้งการประเมินจำเลยมิได้นำเงินค่าภาษีไปชำระแก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 43 และจำเลยมิได้นำเงินไปชำระจนเกินระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน จำเลยจึงต้องชำระค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 แห่งค่าภาษีที่ค้างชำระตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 43 (4) คิดเป็นค่าเพิ่มจำนวน 27,450 บาท รวมกับค่าภาษีที่ค้างชำระ จำนวน 275,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 301,950 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีและค่าเพิ่มจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายใน 15 วัน เพราะว่าโรงเรือนและที่ดินของจำเลยในคดีนี้เป็นสถานศึกษา ในแต่ละวันมีเอกสารที่นำส่งเข้ามาในโรงเรียนเป็นจำนวนมาก พนักงานของจำเลยอาจนำไปรวมกับเอกสารอื่นที่มีมากดังกล่าว และหรือพนักงานผู้รับจดหมายหรือแบบแจ้งรายการประประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.8) หลงลืมไม่นำส่งให้จำเลยในทันที จำเลยได้รับแบบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.8) เมื่อพ้นกำหนดยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว จึงทำให้ไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ได้ทันเวลา จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ทั้งวิธีการประเมินและจำนวนภาษีที่สูงเกินไป แม้จะพ้นเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แล้ว จำเลยได้พยายามไปติดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์หลายครั้งเพื่อสอบถามว่าทำไมจำนวนภาษีตามประเมินจึงสูงผิดปกติและสูงกว่าของโรงเรียนอื่นจำนวนหลายโรงเรียนที่อยู่ในแถบเมืองพัทยาและใกล้เคียงเป็นอย่างมาก พร้อมสอบถามถึงหลักเกณฑ์วิธีการประเมินว่ามีหลักหรือวิธีการอย่างไร จำเลยติดต่อทั้งด้วยวาจาและเป็นลายลักษณ์อักษร แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์บ่ายเบี่ยงตลอดเรื่อยมา จนถึงปีภาษี 2541 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยลดลงเหลือเพียงปีละประมาณหนึ่งหมื่นบาทเศษ ทั้งจำเลยใช้พื้นที่หรือใช้ประโยชน์จากอาคารเรียนหรือห้องเรียนเหมือนกับปีภาษี 2540 ทุกประการ โจทก์ประเมินภาษีต่อห้องเรียนของโรงเรียนอื่นในเขตเมืองพัทยาตั้งแต่ปีภาษี 2535 ถึงปีภาษีปัจจุบัน ประเมินภาษีเพียงห้องเรียนละ 300 บาท จนถึง 450 บาทต่อปี ก็เช่นเดียวกับกรณีของจำเลย จำเลยถูกประเมินภาษีของปีภาษี 2541 ถึงปีภาษี 2545 เพียงห้องเรียนละ 300 บาท เท่านั้น ส่วนการประเมินภาษีโรงอาหารปีภาษี 2535 ถึงปีภาษี 2540 ปีละ 4,500 บาท เปรียบเทียบกับการประเมินภาษีโรงอาหารปีภาษี 2541 ถึงปีภาษี 2545 เพียงปีละ 450 บาท ซึ่งจำเลยเห็นว่าเป็นอัตราที่สมควรและเป็นธรรม จึงได้ชำระภาษีของปีภาษี 2541 ถึงปีภาษี 2545 ตลอดมา นอกจากนี้ตามแบบแจ้งรายการประเมิน ภ.ร.ด.8 จะต้องมีข้อความแจ้งถึงสิทธิของผู้ถูกประเมินภาษีว่า “หากผู้รับประเมินไม่พอใจการประเมินภาษี ให้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง” แต่เมื่อพิจารณาแบบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด.8) ตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ทุกฉบับจะเห็นได้ว่า ไม่มีข้อความดังกล่าวแจ้งถึงสิทธิของจำเลย ดังนี้จะถือว่าจำเลยทราบถึงสิทธิดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ การแจ้งการประเมินภาษีตามฟ้องของปีภาษี 2535 ถึงปีภาษี 2540 ไม่ชอบและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีและเงินเพิ่มรวมเป็นจำนวน 301,950 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้แจ้งสิทธิในการขอให้มีการพิจารณาการประเมินใหม่ภายในกำหนดระยะเวลา จึงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 40 วรรคแรก โดยศาลไม่ต้องวินิจฉัยว่าการประเมินชอบหรือไม่ และสามารถยกฟ้องโจทก์ได้เลย เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้หนังสือแจ้งการประเมินซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองต้องระบุระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือโต้แย้งไว้ด้วย และในวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนโดยมิได้ระบุระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งไว้ ให้ขยายระยะเวลาเป็นหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง บทบัญญัติดังกล่าวมีผลเป็นการให้สิทธิแก่ผู้รับประเมิน โดยขยายระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่เป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ดังนั้น แม้โจทก์มิได้แจ้งสิทธิในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ก็หาทำให้การประเมินนั้นไม่ชอบ และที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดโดยชัดเจนว่าในการโต้แย้ง คัดค้านต้องทำเป็นหนังสือ จึงสามารถตีความได้ว่า สามารถโต้แย้งได้ด้วยวาจาและเป็นหนังสือนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 25 กำหนดว่า ผู้รับประเมินผู้ใดไม่พอใจในการประเมิน อาจยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมสรรพากรหรือสมุหเทศาภิบาล เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ และตามมาตรา 26 กำหนดไว้ว่า คำร้องให้เขียนในแบบพิมพ์ ซึ่งกรมการอำเภอจ่ายและผู้รับการประเมินต้องลงนาม แบบพิมพ์ดังกล่าวเป็นแบบของทางราชการทำขึ้น คือแบบ ภ.ร.ด.9 ดังนั้น การโต้แย้งคัดค้านจะต้องทำเป็นหนังสือ โดยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามแบบ ภ.ร.ด.9 เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ภายในระยะเวลาหนึ่งปี นับแต่ได้รับแจ้งการประเมิน จำนวนภาษีที่ประเมินไว้จึงเป็นจำนวนเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 27 อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share