แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยโดยทำสัญญาจ้างเป็นปี ๆ เริ่มทำสัญญาครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 ต่อมาในปี 2533 สัญญาจ้างลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 ระบุว่าสัญญาจ้างมีกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างเข้าทำงานตามสัญญาและมีข้อความตอนท้ายสัญญาว่าเริ่มวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 ซึ่งมีความหมายชัด อยู่ในตัวแล้วว่าคู่สัญญาให้สัญญามีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533เมื่อครบกำหนดสัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงโดยผลของสัญญา มิใช่จำเลยให้โจทก์ที่ 1 ออกจากงาน ปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงานตามความหมายของประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ข้อ 46 วรรคสอง จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง โจทก์ที่ 1ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยได้จัดตารางทำงานให้ อ. ทำงานแทนโจทก์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 แล้ว โจทก์ที่ 2 ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ที่ 2 ขอลาออกจากการทำงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2533 ให้มีผลวันที่ 3 พฤศจิกายน 2533 จำเลยไม่อนุมัติให้โจทก์ที่ 2 ลาออก โจทก์ที่ 2 ไม่มาทำงานในวันที่4 พฤศจิกายน 2533 จนถึงเดือนมกราคม 2534 จึงเป็นการหยุดงานที่ไม่มีเหตุสมควร เป็นการละทิ้งหน้าที่นั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่มีความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยค่าล่วงเวลาที่จ่ายขาด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีกับคืนเงินค้ำประกันแก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายของเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์ที่ 1ได้ออกจากงานไปเองเนื่องจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงและโจทก์ที่ 1ไม่ทำสัญญากับจำเลยต่อไป ส่วนการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2534 เพราะโจทก์ที่ 2 ขาดงานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลย สัญญาจ้างฉบับสุดท้ายที่โจทก์ที่ 1 ทำกับจำเลย ปรากฏว่าลงวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2533 สัญญาจะครบ 1 ปี คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534จำเลยขีดฆ่าตารางวันทำงานของโจทก์ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์2534 หรือไม่จัดให้ทำงาน จึงเป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 โดยโจทก์ที่ 1 ไม่มีความผิด จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย และจำเลยสั่งให้โจทก์ที่ 1 ทำงานเกินเวลาในวันทำงานปกติและวันหยุดตามตารางวันทำงานที่จำเลยจัดให้ทำงาน จำเลยได้ให้โจทก์ที่ 1 ทำงานโดยพักช่วงทำงานวันละ 30 นาทีจำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้าง โจทก์ที่ 2 ไม่ได้ทำงานตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 เนื่องจากจำเลยได้จัดตารางวันทำงานให้นางอำนวยทำงานแทนโจทก์ที่ 2 และ โจทก์ที่ 2ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 โดยไม่มีความผิดจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย โจทก์ที่ 2 ได้ทำงานเกินเวลาทำงานปกติและทำงานในวันหยุดเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่โจทก์ที่ 2และโจทก์ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้ทำความเสียหายแก่จำเลยจำต้องคืนเงินค้ำประกันความเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 49,800 บาท, 24,000 บาท ค่าล่วงเวลาเป็นเงิน 9,178.44 บาท, 10,195.85 บาท ค่าล่วงเวลาในวันหยุดเป็นเงิน 2,900.15 บาท, 4,320 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2ตามลำดับ และให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ให้โจทก์ที่ 1 ทำงานโดยให้พักระหว่างทำงานวันละไม่ถึงชั่วโมงอีกเป็นเงิน 8,650.18 บาทกับให้จำเลยคืนเงินค้ำประกันความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน6,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าโจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยโดยทำสัญญาเป็นปี ๆ เริ่มทำสัญญาครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2530 สัญญาจ้างสิ้นสุดลงในวันที่ 1กุมภาพันธ์ ของทุกปี ในปี 2533 ได้ต่อสัญญาจ้างล่าช้า โดยทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 แต่ตอนท้ายของสัญญาจ้างดังกล่าวก็ระบุให้สัญญาจ้างมีผลย้อนไปเริ่มในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533ตามเอกสารหมาย ล.2 หรือ จ.2 แผ่นที่ 2 สัญญาจ้างจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 เมื่อโจทก์ที่ 1 ไม่ยอมต่อสัญญาถือว่าสัญญาจ้างได้สิ้นสุดแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าสัญญาจ้างดังกล่าวลงวันที่28 กุมภาพันธ์ 2533 สัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์2534 จำเลยจีดฆ่าตารางเวรทำงานของโจทก์ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 2กุมภาพันธ์ 2534 อันเป้นการเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามสัยญาจ้างเอกสารหมาย ล.2 หรือ จ.2แผ่นที่ 2 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 ข้อ 9 ระบุว่า สัญญาจ้างมีกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างเข้าทำงานตามสัญญา และมีข้อความตอนท้ายสัญญาต่อจากที่ระบุผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ที่ 1กำหนดว่าเริ่มวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 ซึ่งมีความหมายชัดอยู่ในตัวแล้วว่าคู่สัญญาให้สัญญาให้สัญญามีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 2กุมภาพันธ์ 2533 สัญญาฉบับดังกล่าวมีกำหนดหนึ่งปี วันสุดท้ายตามสัญญาจ้างคือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 เมื่อครบกำหนดสัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง และโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ประสงค์ทำสัญญาจ้างใหม่กับจำเลยอีก ซึ่งการเลิกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหมายถึงการที่นายจ้างให้ออกจากงาน ปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงาน อันเป็นลักษณะที่นายจ้างกระทำต่อลูกจ้างในขณะยังมีความสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาจ้างแรงงานแต่กรณีของโจทก์ที่ 1กับจำเลย เป็นซึ่งสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยผลของสัญญา มิใช่จำเลยให้โจทก์ที่ 1 ออกจากงานปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงานตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11)ที่แก้ไขใหม่ ข้อ 46 วรรคสอง จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง โจทก์ที่ 1ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ที่ 2 ขอลาออกจากการทำงานกับจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2533 โดยให้มีผลวันที่ 3พฤศจิกายน 2533 จำเลยไม่อนุมัติให้โจทก์ที่ 2 ลาออกโจทก์ที่ 2ไม่มาทำงานในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2533 จนถึงเดือนมกราคม 2534จึงเป็นการหยุดงานที่ไม่มีเหตุสมควร เป็นการละทิ้งหน้าที่นั้นเห็นว่าศาลแรงงานกลางฟ้องข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยได้จัดตารางทำงานให้นางอำนวยทำงานแทนโจทก์ที่ 2ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 แล้ว โจทก์ที่ 2 ไม่ด้ละทิ้งหน้าที่อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้และที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองตกลงทำงานกับจำเลยเป็น 2 กะ จะปฏิบัติงานหมุนเวียนต่อเนื่องกันตามตารางเวรที่จำเลยได้กำหนดขึ้น จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองทำงานเกินเวลาปกติ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าล่วงเวลานั้น ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ที่ 1 ทำงานเกินเวลาในวันทำงานปกติและวันหยุดตามตารางวันทำงานที่จำเลยจัดให้ทำ และฟังว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทำงานเกินเวลาทำงานปกติและทำงานในวันหยุดเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสำนวนฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.