แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จำเลยมิได้ให้การถึงตราที่ใช้ประทับอยู่ในช่องผู้เช่าซื้อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อว่าชอบหรือไม่อย่างไร เมื่อจำเลยไม่ให้การถึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าเป็นตราของจำเลยที่ 1 คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ในข้อเท็จจริงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84(1) ศาลไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยที่นำสืบว่าตราที่ประทับในช่องผู้เช่าซื้อไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมรถยนต์เป็นของจำเลยที่ 1 ส.กระทำโดยไม่สุจริตโอนรถยนต์ให้โจทก์ แล้วจึงมีการทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้ว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์สัญญาเช่าซื้อจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น เมื่อปัญหาดังกล่าวมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามมิให้ยกขึ้นมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความเองทั้งสิ้นสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมแต่ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้การที่จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความในเอกสารทั้งสิ้น จึงเป็นเอกสารปลอม โดยจำเลยที่ 2 มิได้ให้การว่าเหตุใดจึงได้ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวและเหตุใดโจทก์จึงนำเอกสารนั้นไปกรอกข้อความจนกลายเป็นเอกสารปลอมได้ ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยนายสมบูรณ์ สุวรรณไวพัฒนะ กรรมการผู้จัดการได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์จำนวน 2 คัน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสองคันแก่โจทก์เพียง 3 งวด ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1 ผิดนัดโจทก์ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ทั้งสองคันในสภาพเรียบร้อยถ้าหากคืนไม่ได้ก็ให้ชำระราคา และร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ นายสมบูรณ์ สุวรรณไวพัฒนะ อดีต กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ใช้อำนาจกระทำการโดยไม่สุจริตโอนรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุและรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่แก่โจทก์ และโจทก์ให้เงินตอบแทนแก่นายสมบูรณ์จำนวน 60,000 บาท และ 80,000 บาทตามลำดับ หลังจากนั้นนายสมบูรณ์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสองคันคืนในนามของตนเองโจทก์กระทำการไม่สุจริตกรอกข้อความเป็นเท็จลงในสัญญาเช่าซื้อโดยระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น-5382 นครราชสีมา หมายเลขเครื่อง 352968 เลขคัชชี9393268 และรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม. 80-4029 หมายเลขเครื่อง 59737 เลขคัชชี เค เอ็ม 310-26573 ในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 คืนรถไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคารถจำนวน 81,900 บาท และ 108,900 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 41,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายสำหรับรถคันหมายเลขทะเบียน น-5382นครราชสีมา เป็นเงินวันละ 100 บาท ส่วนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน.ม.80-4029 เป็นเงินวันละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถคืน คำขอนอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองในสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2530 นายสมบูรณ์ สุวรรณไวพัฒนะ กรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ และยี่ห้อฮีโน่ กับโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1โดยมีตราประทับอยู่ในช่องผู้เช่าซื้อ และมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อมามีการชำระค่าเช่าซื้อเพียง 3 งวด หลังจากนั้นโจทก์ก็ไม่ได้รับชำระค่าเช่าซื้ออีก ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน แต่โจทก์ไม่ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืน โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
ปัญหาแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยมีสิทธิอ้างและนำสืบว่าตราที่ประทับในช่องผู้เช่าซื้อในสัญญาไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ในข้อนี้จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ เดิมรถยนต์ดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 นายสมบูรณ์กระทำโดยไม่สุจริตโอนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ และโจทก์ให้เงินตอบแทนแก่นายสมบูรณ์ แล้วจึงมีการทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จะเห็นได้ว่าจำเลยมิได้ให้การถึงตราที่ใช้ประทับอยู่ในช่องผู้เช่าซื้อว่าชอบหรือไม่อย่างไร เมื่อจำเลยไม่ให้การถึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าเป็นตราของจำเลยที่ 1คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ในข้อเท็จจริงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ยอมรับวินิจฉัยพยานจำเลยที่นำสืบว่าตราที่ประทับในช่องผู้เช่าซื้อไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น.
ปัญหาต่อมาจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อ ถือว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันเพราะเป็นปัญหาที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ในข้อนี้จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่าเดิมรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1นายสมบูรณ์กระทำโดยไม่สุจริตโอนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์แล้วจึงมีการทำสัญญาเช่าซื้อ จะเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้ว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวสัญญาเช่าซื้อจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น เมื่อปัญหาข้อนี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ยกขึ้นมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้จึงถูกต้องแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิกล่าวอ้างและนำสืบว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในเอกสารเพื่อค้ำประกันเงินกู้ให้แก่นายสมบูรณ์ แต่มีการนำเอกสารนั้นไปกรอกข้อความเป็นสัญญาค้ำประกันในคดีนี้อันผิดไปจากข้อตกลง การกรอกข้อความดังกล่าวจึงเป็นการปลอมเอกสาร ศาลฎีกาเห็นว่า ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความเองทั้งสิ้นสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม แต่ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้ การที่จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความในเอกสารทั้งสิ้น จึงเป็นเอกสารปลอม โดยจำเลยที่ 2 มิได้ให้การว่าเหตุใดจึงได้ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว และเหตุใดโจทก์จึงนำเอกสารนั้นไปกรอกข้อความจนกลายเป็นเอกสารปลอมได้ ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน