คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ได้ความว่าจำเลยได้ทำรั้วและปลูกห้องแถวลงในที่พิพาทตั้ง3 ปีก่อนถูกฟ้อง ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังมิได้มีหนังสือสำคัญซึ่งโจทก์มีสิทธิจะกล่าวอ้างได้ก็แต่เพียงสิทธิครอบครองประการเดียวเท่านั้น โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องงดและระวังรักษาสิทธิดังกล่าวไว้หาใช่มีแล้วก็ปล่อยปละละเลยไม่ต้องนำพาเสียเลย การที่โจทก์อ้างว่าตัวโจทก์อยู่ไกลไม่มีทางรู้ถือได้ว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่นำพาได้แล้วเพราะ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1375 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองต้องเสียภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหาใช่นับแต่วันที่รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองไม่ เมื่อจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาตั้ง 3 ปีแล้วจะเป็นโดยเจตนาสุจริตคิดว่าเป็นที่ดินของจำเลยเองหรือโดยเจตนาไม่สุจริตก็ดีและจะโดยโจทก์รู้เห็นแต่แรกแล้วหรือไม่เคยทราบเรื่องเลยก็ตาม ไม่ใช่เป็นข้อสำคัญถือว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องได้แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกเอาที่ดินของโจทก์ไปตามเขตเส้นหมายสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้อง จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินหมายสีแดงของโจทก์นั้น

จำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่ที่จำเลยซื้อจากโจทก์มาตามหนังสือสัญญาซื้อขายลงวันที่ 18 พ.ค. 93 หาได้บุกรุก เข้าไปในที่ดินของโจทก์ไม่ และแม้ศาลจะฟังว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปจริงดังฟ้องจำเลยก็ได้ครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนโดยความสงบและเปิดเผยตลอดมา ตั้งแต่แรกซื้อ จำเลยปลูกเรือนและห้องแถวในที่พิพาทโจทก์ก็รู้เห็นเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ย่อมหมดสิทธิฟ้องร้องและท้ายที่สุดอ้างว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า

1. ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

2. ที่ดินที่โจทก์ขายให้แก่จำเลยตามหนังสือสัญญาซื้อขายหมาย จ.1 ลงวันที่ 18 พ.ค. 93 นั้นคือที่ดินภายในวงเส้นสีน้ำเงินตามที่โจทก์นำชี้ในแผนที่วิวาท หาใช่ภายในวงสีแดงดังที่จำเลยนำชี้มานั้นไม่ ที่พิพาทจึงเป็นที่ดินของโจทก์

3. เมื่อจำเลยทำรั้วและปลูกห้องแถวในที่พิพาทนั้นจำเลยเข้าทำเอาเองโดยมิได้บอกกล่าวโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อ แสดงว่าจำเลยได้เข้าครอบครองโดยไม่สุจริตอยู่ในตัว คดีรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้เห็นดังประเด็นที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นข้อต่อสู้ขึ้นมานั้น และโจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยบุกรุกที่ดินในปีที่เกิดฟ้องร้องกันนี้เอง คดีโจทก์หาขาดอายุความไม่จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในประเด็นข้อ 1 และข้อ 2 ส่วนประเด็นข้อ 3 เห็นว่าจำเลยได้ทำรั้วในที่พิพาทด้านทางทิศตะวันตกตลอดมาตั้งแต่แรกซื้อและเมื่อพ.ศ. 2495 ได้ปลูกห้องแถวเข้าไปในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออกอีกด้วย เป็นการครอบครองที่พิพาทตลอดมา ดังนี้ที่พิพาทแม้จะเป็นของโจทก์แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่เวลาที่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนจากจำเลยได้จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 จะต้องเป็นเรื่องที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่ามีคนอื่นบุกรุกแต่มิได้ฟ้องร้องเสียภายในกำหนด 1 ปี เรื่องนี้ตัวโจทก์อยู่ไกลที่พิพาทไม่มีทางที่จะทราบได้ จึงจะยกเอากฎหมายบทนี้ขึ้นมาปรับแก่คดีของโจทก์ไม่ได้

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว คดีขึ้นมาสู่ความวินิจฉัยของศาลฎีกาเฉพาะประเด็นข้อ 3 ตามที่โจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมา

ที่ดินรายพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ยังมิได้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ประการใด โจทก์มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างได้ก็แต่เพียงสิทธิครอบครองประการเดียวเท่านั้น โจทก์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลระวังรักษาสิทธิ ดังกล่าวของตนไว้ หาใช่มีแล้วก็ปล่อยปละละเลยไม่นำพาเสียเลย ดังความเข้าใจของโจทก์ไม่ เรื่องนี้จำเลยได้ทำรั้วและปลูกห้องแถวลงในที่พิพาทตั้ง 3 ปีก่อนฟ้อง อันเป็นความจริงซึ่งโจทก์ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงคงโต้เถียงประการเดียวว่าตัวโจทก์อยู่ไกลไม่มีทางรู้ ซึ่งไม่เป็นผลดีประการใดต่อโจทก์เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าการฟ้องคดีเพื่อเอาซึ่งการครอบครองต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง หาใช่นับแต่วันที่รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองไม่ เมื่อจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาตั้ง 3 ปีแล้วจะเป็นโดยเจตนาสุจริตคิดว่าเป็นที่ดินของจำเลยเองหรือโดยเจตนาไม่สุจริตดังที่ศาลชั้นต้นกล่าวอ้างก็ดี และจะโดยโจทก์รู้เห็นแต่แรกแล้วหรือไม่เคยทราบเรื่องเลยก็ตาม ไม่ใช่เป็นข้อสำคัญทั้งสิ้นโจทก์ย่อมฟ้องคดีไม่ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว

เหตุนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share