คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นภริยาโจทก์พูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ ซึ่งโจทก์เป็นนักศึกษาอยู่ว่าโจทก์มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิตอย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของเพื่อนนักศึกษาคนนั้นก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน โดยขณะนั้นโจทก์มิได้ทำการใด ๆ ที่จำเลยจะต้องแสดงออกด้วยคำพูดดังกล่าว จึงเป็นคำพูดที่ต้องการให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) หาใช่เป็นเพียงคำพูดธรรมดาที่ภริยามีความรักสามีกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาเดือนตุลาคม 2531 ขณะที่โจทก์ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศและพักอาศัยในโรงเรียน จำเลยได้ร้องเรียนต่อผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศว่าโจทก์ไม่กลับบ้าน ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์กลับบ้าน และจำเลยได้โทรศัพท์ไปที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศใส่ร้ายโจทก์ต่อเพื่อนนักศึกษาว่า โจทก์เป็นคนมักมากในกามเป็นคนใจดำอำมหิต ถ้ามีเมียก็อย่าแนะนำให้รู้จักเพราะไว้ใจไม่ได้ถ้าเผลอเมื่อไหร่อาจถูกหลอกเอาทำเมียอีกคน ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2531 จำเลยด่าโจทก์ว่าอ้ายหน้าหี ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน พร้อมกับกระชากแขนโจทก์จนขวดกาแฟและคอฟฟี่เมตในมือตกแตก โจทก์บันดาลโทสะจึงเตะจำเลย 1 ครั้งแล้วขับรถจะออกจากบ้านจำเลยขัดขวางและกระชากกระจกมองหลังรถจนหลุดตกแตก ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2531 จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับโจทก์600 บาท เป็นเหตุให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาตั้งกรรมการสอบสวนและลงทัณฑ์กักขังโจทก์ 30 วัน การกระทำของจำเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง โจทก์ไม่สามารถจะอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยต่อไปเพราะการกระทำของจำเลยนั้นถึงขนาดที่ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนจนเป็นเหตุไม่ให้ได้รับการพิจารณาเลื่อนยศตำแหน่งอันเป็นผลร้ายต่ออาชีพของโจทก์และไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนและผู้บังคับบัญชา โจทก์จำเลยมีทรัพย์สินร่วมกันคือ บ้านพร้อมที่ดิน ราคา 400,000 บาท แต่ยังค้างชำระค่าเช่าซื้อ150,000 บาท เครื่องรับโทรทัศน์สีราคา 4,000 บาท เครื่องเล่นวีดีโอเทปราคา 10,000 บาท ของใช้ในบ้านราคาประมาณ 20,000 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 284,000 บาท โจทก์มีส่วนกึ่งหนึ่ง ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่ยอมแบ่งก็ให้ใช้เงินจำนวน 142,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยาต่อโจทก์ และไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงจำเลยไม่เคยร้องเรียนต่อผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศไม่เคยโทรศัพท์ใส่ร้ายโจทก์การที่โจทก์กล่าวหาจำเลย เพราะจำเลยมีอายุมาก โจทก์ต้องการจะทอดทิ้งจำเลยโจทก์มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่น การที่จำเลยถูกศาลลงโทษและถูกผู้บังคับบัญชาลงทัณฑ์ก็เนื่องจากการกระทำของโจทก์เอง จำเลยไม่เคยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่เคยทำให้กระจกรถของโจทก์เสียหายบ้านและที่ดินตามฟ้องชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์จึงยังไม่ตกเป็นของจำเลย และเครื่องเล่นวีดีโอเทปถูกลักไปแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่แบ่งให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำเลย 137,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยก่อนว่า จำเลยได้พูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ว่า “โจทก์มีเมียมากมักมากในกาม โหดร้ายอำมหิต อย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของตนก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน” จริงหรือไม่ โจทก์มีนาวาอากาศตรีสุจิต แจ่มโสภณเบิกความเป็นพยานว่าหลังจากจำเลยไปพบผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศแล้ว จำเลยได้มาพบพยานและพูดกันพยานว่าโจทก์มีเมียมาก มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิต อย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของพยานก็ตาม โจทก์จะเอาทำเมีย และมีนาวาอากาศโทผจญ การเที่ยงเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแนะนำตนเองว่าชื่อจุฬี ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับจำเลย และบอกว่าเป็นภริยาของโจทก์ ได้พูดเตือนพยานว่าอย่าแนะนำให้โจทก์รู้จักกับหญิงอื่นและครอบครัวของพยาน เพราะโจทก์ชอบจีบผู้หญิง ใจดำอำมหิต จำเลยนำสืบแต่เพียงว่าไม่รู้จักกับพยานโจทก์และไม่เคยพูดข้อความดังกล่าว เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรเป็นผู้มีเกียรติเชื่อถือได้ ทั้งไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามความสัตย์จริงข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้พูดข้อความดังกล่าว คงมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า ข้อความที่จำเลยพูดนั้นเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันหรือไม่ เห็นว่า คำพูดของจำเลยว่า”โจทก์มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิต อย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของตนก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน”จำเลยพูดที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศขณะโจทก์ไปเรียนอยู่โดยพูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ เป็นคำพูดที่ต้องการให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) เป็นเหตุให้โจทก์นำมาฟ้องหย่าได้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำพูดดังกล่าวเป็นคำพูดธรรมดาที่ภริยาที่มีความรักสามีเป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงโจทก์อยู่ในฐานะจะป้องกันเหตุเหล่านี้มิให้เกิดขึ้นได้ โดยละเว้นความประพฤติดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะขณะจำเลยพูดนั้นโจทก์มิได้กำลังทำการใด ๆ ที่จำเลยจะต้องแสดงออกด้วยคำพูดดังกล่าว การกระทำของจำเลยมุ่งประจานโจทก์ต่อบุคคลที่ไม่รู้จักกันเลย เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ที่ถือได้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุตามกฎหมายให้โจทก์จำเลยได้หย่าขาดจากกัน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share