แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยได้ตั้งแต่วันที่โจทก์ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา (6 ธันวาคม 2521) แต่หนี้ที่จะต้องชำระเงินคืนของจำเลยนั้นมิได้กำหนดไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จึงจะถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันดังกล่าวมิได้กรณีจะถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ เมื่อได้ความว่าโจทก์ทวงถามไปยังจำเลยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2522 โดยให้จำเลยชำระภายใน 7 วัน จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับจากวันที่ครบกำหนดในหนังสือทวงถาม คือ ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาขายที่ดินให้จำเลยและได้นำหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของธนาคารและเงินประกันการรื้อถอนโรงเรือนและอพยพผู้อยู่อาศัยในที่ดินออกไปอีกจำนวน ๔,๕๐๒,๐๒๐.๓๙ บาท มอบให้จำเลยยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา ต่อมาโจทก์ได้ปฏิบัติครบถ้วนถูกต้องตามสัญญาซื้อขายทุกประการแล้ว จำเลยไม่ยอมคืนหนังสือค้ำประกันและเงินดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ทั้งสองจึงมอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมายเลข ๖ ท้ายฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินประกันการรื้อถอนโรงเรือนและอพยพข้างต้นนับแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนและอพยพผู้อยู่อาศัยเสร็จตามสัญญา ทำให้เสียหายเท่ากับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน ๗๓๑,๕๗๘.๓๐ บาท ขอให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันและเงินประกันพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายได้เป็นเงินถึง ๑๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงกว่าที่จำเลยยึดไว้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยและไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันธนาคารกับชำระเงินจำนวน ๔,๕๐๒,๐๒๐.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้บังคับจำเลยชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ จนถึงวันฟ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๔,๕๐๒,๐๒๐.๓๙ บาท นับแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกาขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์ได้รื้อถอนโรงเรือนและอพยพผู้อยู่อาศัยเสร็จตามสัญญาตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ ก่อนวันดังกล่าวนั้นโจทก์เคยโอนสิทธิเรียกร้องการขอรับเงินประกันตามสัญญาจำนวน ๔,๕๐๒,๐๒๐ บาท ๓๙ สตางค์ ให้บริษัทสินเอซียจำกัด บริษัทสินเอเซีย จำกัด ขอรับเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย แต่จำเลยปฏิเสธโดยอ้างว่าโจทก์ยังผิดสัญญาอยู่ ปรากฏรายละเอียดตามหนังสือของจำเลยลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๒๑ บริษัทสินเอเซีย จำกัด จึงได้โอนสิทธิเรียกร้องกลับมาเป็นของโจทก์ตามเดิมตามเอกสารหมาย จ.๑ และได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วตามเอกสารหมาย จ.๒ ต่อมาโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความทวงถามให้จำเลยคืนเงินประกันแก่โจทก์ ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ยุติดังกล่าวโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินประกันตามสัญญาคืนได้ตั้งแต่โจทก์ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา (วันที่ ๖ ธันวาคม๒๕๒๑) แต่หนี้ที่จะต้องชำระเงินคืนของจำเลยตามสัญญานั้นมิได้กำหนดไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จึงจะถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันดังกล่าวมิได้ จำเลยจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อตนตกเป็นผู้ผิดนัด ถึงแม้บริษัทสินเอเซีย จำกัด ซึ่งเคยได้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากโจทก์จะได้เคยทวงถามให้จำเลยชำระก็ตาม แต่ก็เป็นการทวงถามก่อนที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระหนี้ จึงถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่บริษัทสินเอเซีย จำกัด ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้มิได้ กรณีจะถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อหนี้ถึงกำหนดและโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระข้อเท็จจริงได้ความตามหนังสือทวงถามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ ว่า โจทก์ทวงถามไปยังจำเลยเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคา ๒๕๒๒ โดยให้จำเลยชำระภายใน ๗ วัน จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับจากวันที่ครบกำหนดในหนังสือทวงถาม คือผิดนัดตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ให้คิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ อันเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเป็นบางส่วน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒.