คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2634/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ใช้บังคับ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แล้วจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ และพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ความผิด จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ไม่ได้ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2526)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2523 ถึงวันที่ 14 กรกฎาคม2523 จำเลยซึ่งมิได้มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปยึดถือ ครอบครองก่นสร้างที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์หนองม่วงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เป็นจำนวนเนื้อที่ 20 ไร่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9, 108, 108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 กับให้จำเลยและบริวารออกจากเขตที่ดินของรัฐที่จำเลยยึดถือ ครอบครองนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9, 108, 108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96ข้อ 11 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 จำคุก 6 เดือนและปรับ 2,000 บาท รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตที่ดินของรัฐที่จำเลยยึดถือครอบครองนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาด้วย ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา 29, 30

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินหนึ่งแปลง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ โดยในปี พ.ศ. 2513 จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครองแล้ว แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไปว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครอง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ใช้บังคับ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวและสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แล้วจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ และพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ความผิดจะลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share