แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นคนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยในระยะใกล้ถึงสองครั้ง ประกอบทั้งคนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยนี้มีหน้าตาคล้าย พ. ซึ่งเป็นคนที่ผู้เสียหายรู้จักเช่นนี้จึงมีเหตุที่ผู้เสียหายจะจดจำคนร้ายคนนี้ได้เป็นพิเศษที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำคนร้ายได้ในขณะที่เห็นทั้งสองครั้งจึงสมเหตุสมผล และหากผู้เสียหายจำไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้เสียหายจะชี้บอกสามีผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นคนร้าย และต่อมาได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยแล้วหลังจากนั้นผู้เสียหายก็ยังชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นคนร้าย ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าผู้เสียหายจำได้โดยแน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้าย ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยแจ้งชัดปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่วิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหายด้วยคนหนึ่ง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมจี้เป็นไม้แกะสลักรูปสิงห์รวมราคา2,700 บาท ซึ่งแขวนอยู่ที่คอนางสาวเครือวัลย์ ทับทอง ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยฉกฉวยเอาทรัพย์ดังกล่าวไปซึ่งหน้าและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การพาเอาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม เหตุเกิดที่ตำบลปาแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน เชียงใหม่ ศ-6375 เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 336, 336 ทวิริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน2,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ ลงโทษจำคุก1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง ให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำหนักสองสลึงพร้อมจี้เป็นไม้แกะสลักรูปสิงห์แก่ผู้เสียหาย ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 2,700 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า รถจักรยานยนต์ของกลางให้คืนเจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2532 เวลา 13 นาฬิกาเศษมีคนร้ายสองคนร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายคือ สายสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง และจี้เป็นไม้แกะสลักรูปสิงห์ รวมราคา 2,700 บาทโดยคนร้ายคนหนึ่งเป็นคนขับรถจักรยานยนต์รออยู่ ขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งลงจากรถวิ่งมาผลักผู้เสียหายแล้วกระชากสายสร้อยคอทองคำและจี้เป็นไม้แกะสลักรูปสิงห์ที่ทำด้วยไม้ที่ผู้เสียหายสวมอยู่ไปคดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งโดยในตอนที่คนร้ายจอดรถจักรยานยนต์ถามผู้เสียหายว่าจะเช่ารถเข้าหมู่บ้านหรือไม่นั้น จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ส่วนในตอนที่คนร้ายเข้ามาผลักผู้เสียหายและกระชากสายสร้อยคอไปนั้น จำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 13 นาฬิกาเศษย่อมมีแสงสว่างมากพอที่จะเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้โดยถนัดชัดเจนและตอนที่คนร้ายจอดรถจักรยานยนต์ถามผู้เสียหายว่า จะเช่ารถเข้าหมู่บ้านหรือไม่นั้น คนร้ายก็ขับรถจักรยานยนต์สวนมาแล้วจอดห่างผู้เสียหายเพียงไม่เกิน 3 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ใกล้พอที่ผู้เสียหายจะเห็นหน้าคนร้ายได้โดยถนัด และในเหตุการณ์ที่อยู่ ๆ ก็มีคนซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนมาจอดรถจักรยานยนต์ถามผู้เสียหายดังกล่าวแล้วเช่นนั้น ผู้เสียหายก็น่าจะต้องมองหน้าผู้ที่มาจอดรถจักรยานยนต์ถามดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นผู้ขับหรือผู้นั่งซ้อนท้าย ดังนี้ผู้เสียหายย่อมได้เห็นหน้าคนร้ายทั้งสองหลังจากเหตุการณ์ในตอนนี้แล้วก็ได้ความจากผู้เสียหายว่าเมื่อผู้เสียหายตอบคนร้ายว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้วก็เดินผ่านคนร้ายไป คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ออกไปทางปากทางเข้าหมู่บ้านสักครู่ก็ขับรถจักรยานยนต์กลับเข้ามาและแล่นผ่านผู้เสียหายไปประมาณ 200 เมตร ก็ขับรถจักรยานยนต์ย้อนออกมาโดยคราวนี้คนร้ายซึ่งครั้งแรกเป็นคนนั่งซ้อนท้ายเป็นผู้ขับและชะลอความเร็วลงเมื่อห่างผู้เสียหายประมาณ 3 เมตรแล้วคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายก็ลงจากรถจักรยานยนต์วิ่งมาผลักผู้เสียหายแล้วกระชากสายสร้อยของผู้เสียหาย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งที่คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมานี้ ก่อนที่คนร้ายจะวิ่งมาผลักผู้เสียหายและกระชากสายสร้อยของผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายน่าจะสนใจสังเกตดูคนร้ายเป็นพิเศษเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาจากที่คนร้ายจอดรถจักรยานยนต์สอบถามผู้เสียหายเรื่องจะเช่ารถเข้าหมู่บ้านหรือไม่ดังได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้นที่ผู้เสียหายอ้างว่าในคราวหลังนี้คนร้ายที่ครั้งแรกเป็นคนนั่งซ้อนท้ายเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์จึงมีเหตุผลน่ารับฟัง จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นคนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยในระยะใกล้ถึงสองครั้ง ประกอบทั้งคนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยนี้มีหน้าตาคล้ายนายไพศาล ซึ่งเป็นคนที่ผู้เสียหายรู้จัก เช่นนี้จึงมีเหตุที่ผู้เสียหายจะจดจำคนร้ายคนนี้ได้เป็นพิเศษ ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำคนร้ายที่ตอนแรกนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์และตอนหลังเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ได้ว่าคือจำเลยจึงสมเหตุผลและหากผู้เสียหายจำไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้เสียหายจะชี้บอกนายชิตชัยสามีผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นคนร้าย และต่อมาได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยแล้วหลังจากนั้นผู้เสียหายก็ยังชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นคนร้ายซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าผู้เสียหายจำได้โดยแน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้าย ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยแจ้งชัดปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่วิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหายด้วยคนหนึ่ง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอจะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.