แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงตามคำสั่งศาลและจำเลยเป็นทายาทโดยธรรมด้วยคนหนึ่ง ทายาทเจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างกันแต่ตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตน จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ประกอบด้วยมาตรา 354
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียง แซ่เจี่ยหรือแซ่อึ้ง หรือ ผิวพานิช ตามคำสั่งศาล ได้ยักยอกที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกที่จะตกทอดแก่นายบรรจง สมบูรณ์ทรัพย์นายใหญ่ อริยะกุลพรหมมา นางสง่า จันทกานนท์ นางกาญจนาธรรมลิขิตกุล นางอารีย์ พาแก้ว นายนิพนธ์ ผิวพานิชนางสาวรำไพ อริยะกุลพรหมมา ทายาทซึ่งเป็นผู้เสียหาย กับจำเลยไปเป็นของจำเลยเอง โดยจำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพียงคนเดียว มิได้จัดแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่ทายาทตามหน้าที่ของจำเลยตามกฎหมายโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353, 354 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน4,974,987.50 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 354 จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน4,974,987.50 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงตามคำสั่งศาล นางเหลียงมีบุตร 9 คน คือ นางสง่า โจทก์ร่วม นางกาญจนา นายใหญ่นางอารีย์ นายนิพนธ์ นางสาวเจริญ นางรำไพ และจำเลย เป็นทายาทโดยธรรม เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 จำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินเฉพาะส่วนตามตราจองเลขที่ 88 ตำบลคลองกิ่ว (บ้านบึง) อำเภอบ้านบึง (บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรีราคา 4,974,987.50 บาท เป็นชื่อของจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดกก่อน แล้วจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทนั้นให้แก่จำเลยอีกทีหนึ่งตามหนังสือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี และสำเนาตราจองเอกสารหมาย จ.11ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์และโจทก์ร่วมอ้างว่า หลังจากนางเหลียงตายไป ทายาทได้เจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกกันหลายครั้ง แต่ยังตกลงกันไม่ได้เพราะนางอารีย์จะเอาเงินจากนางรำไพ 400,000 บาท ไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2530 มีการเจรจากันอีกที่บ้านของโจทก์ร่วม โดยไม่มีจำเลยอยู่ด้วย ได้เอาโฉนดที่ดินและตราจองซึ่งโจทก์ร่วมเก็บรักษาไว้ออกมาดู ปรากฏว่าตราจองเลขที่ 88 ชำรุด จึงให้นางสมพร ชัยทัต ไปติดต่อที่สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี และทราบว่าจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลและได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยนำสืบว่าสาเหตุที่ยังแบ่งปันทรัพย์มรดกกันไม่ได้เพราะทายาทอื่นจะให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่นางเหลียงยกให้จำเลยครึ่งหนึ่งตามตราจอง เลขที่ 88กลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางเหลียงด้วย จำเลยไม่ยินยอมและนางอารีย์เรียกร้องเงิน 400,000 บาท เป็นค่าโรงสีที่นางอารีย์เป็นผู้ปลูกสร้างในที่ดินแปลงดังกล่าว ที่จำเลยจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยแต่ผู้เดียวนั้นเพราะตราจองเลขที่ 88 มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง และนางอารีย์ก็ปลูกสร้างโรงสีอยู่ในที่ดินแล้วจึงต้องการแบ่งปันมรดกที่ดินพิพาทให้เป็นของจำเลยและนางอารีย์และนางอารีย์ให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนไว้ก่อน สำหรับทรัพย์มรดกอื่นจำเลยก็จะแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป แต่ยังไม่ตกลงยินยอมกัน เห็นว่าการเจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกของนางเหลียงระหว่างทายาทยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น นางรำไพและนายนิพนธ์ทายาทซึ่งเป็นผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงเพราะได้มอบหมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทั้งเอกสารหลักฐานและทรัพย์มรดกทั้งหมดโจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้โดยนายชาญ กุลชราทรเทพนำมามอบให้ในขณะที่จัดงานศพของนางเหลียง ซึ่งจำเลยก็รู้เห็น แต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองเลขที่ 88 สูญหายขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ประกอบกับจำเลยเบิกความว่า ที่ดินตามตราจองเลขที่ 88 นี้ควรจะเป็นของจำเลยและนางอารีย์เพราะนางอารีย์ก็มีส่วนเสียหาย ทายาทอื่นไม่เสียหาย มีแต่ได้ประโยชน์จำเลยจึงไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวโดยนางอารีย์ให้ใส่ชื่อจำเลยไว้ก่อน แล้วค่อยแบ่งกันภายหลังและเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า ที่ดินตามตราจองเลขที่ 88เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกและเป็นชื่อของจำเลยถือกรรมสิทธิ์แล้วนั้นจำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงด้วย การจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้ความคิดของจำเลยจะไม่ชอบด้วยหน้าที่ของผู้จัดการมรดก แต่ก็พอเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดของจำเลยเองคิดว่าคงทำได้จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เห็นว่า จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุผลว่าจำเลยกระทำโดยเข้าใจผิด เห็นได้จากจำเลยเองก็เบิกความรับว่า จำเลยรู้ว่าทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นที่ดินจำเลยต้องแบ่งให้ทายาททุกคนเท่า ๆ กัน ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาทคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม จำคุก 8 เดือนปรับ 4,000 บาท จำเลยเป็นหญิง มีฐานะดี มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่เจ้าของ