แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 114 เป็นของ ป. สามีโจทก์และโจทก์ร่วมกันโดย ป. ซื้อมาจาก น. และเมื่อซื้อมาแล้วป. มอบให้ ส. สามี จำเลยครอบครองแทน แม้ต่อมา น. จะยื่นคำขอออก น.ส.3 ก็เป็นการกระทำภายหลังจากที่ น. ได้ขายที่ดินพิพาทให้ ป. และโจทก์ไปแล้ว จึงหาทำให้ น. กลับเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกไม่ เมื่อ น. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทต่อมาแม้ น. จะได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้ ส. ก็หาทำให้ส.มีสิทธิดีไปกว่าน.ผู้โอนไม่กรณีที่ส. กระทำการดังกล่าว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองโดยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง ป. และโจทก์ ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ ป. และโจทก์ โดย ส. เป็นผู้ครอบครองแทน ส่วนที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229 ที่จำเลยไปขอออก น.ส.3 ก. ในนามจำเลยนั้นก็มิได้หมายความว่า ส. หรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง ป. หรือโจทก์การที่จำเลยครอบครองที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 114 ก็ดี ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229 ก็ดี เป็นการสืบสิทธิของ ส. จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการขายที่ดินพิพาท น.ส.3 เลขที่ 114 ระหว่าง น. กับ ส. ซึ่งแม้จะเป็นนิติกรรมที่ใช้ยันโจทก์ไม่ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการพิพากษาเกินคำขอและเป็นการกระทบสิทธิของ น. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปดำเนินการเองศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยไม่พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินหนึ่งแปลงอยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ โดยโจทก์และสามีซื้อมาจากนางนาง ปัสทิสามะ เมื่อปี 2509 แล้วมอบให้นายสุวรรณ สุริยวงษ์ซึ่งเป็นสามีจำเลยครอบครองดูแลแทน เพื่อมีรายได้อุปการะเลี้ยงดูมารดาโจทก์ จนกระทั่งปี 2521 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่านายสุวรรณเป็นคนสาปสูญ จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์จึงทราบว่า เมื่อปี 2509 ในขณะที่นายสุวรรณครอบครองที่ดินแทนโจทก์อยู่นั้น ได้สมคบกับนางนางแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า นางนางเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวาจนเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ให้ และนางนางได้โอนที่ดินดังกล่าวให้นายสุวรรณ ในวันเดียวกันและเมื่อปี 2517 จำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ประมาณ 23 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา เพื่อขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เจ้าพนักงานที่ดินจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ คือ น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229 ตำบลกบินทร์อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามฟ้องตามกฎหมาย ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ห้ามยุ่งเกี่ยวต่อไป ให้เพิกถอน น.ส.3 ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114หมู่ที่ 8 และ น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8 เนื้อที่35 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวา เป็นที่ดินซึ่งนายสุวรรณร่วมซื้อกับสามีโจทก์แล้วต่อมาสามีโจทก์ขายส่วนของตนให้นายสุวรรณส่วนที่ดินแปลงเนื้อที่ 23 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา เดิมเป็นของบิดามารดานายสุวรรณ และโจทก์ แล้วยกให้นายสุวรรณและจำเลย จำเลยจึงไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนการขายที่ดินระหว่างนางนาง ปัสทิสามะ กับนายสุวรรณ สุริยวงษ์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2509 ตาม น.ส.3 ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี และให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลง ตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 เป็นของโจทก์หรือของจำเลย ข้อเท็จจริงได้ความว่านายสุวรรณสามีจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์ได้แต่งงานกับจำเลยเมื่อ พ.ศ. 2508 แล้วอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนที่บ้านบิดามารดาโจทก์ตลอดมา ส่วนพี่น้องของนายสุวรรณรวมทั้งโจทก์ได้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นนายสุวรรณกับจำเลยยังประกอบกสิกรรมหาเลี้ยงบิดามารดาโจทก์เมื่อเทียบฐานะทางการเงินกับโจทก์และสามีซึ่งรับราชการแล้วนายสุวรรณน่าจะอยู่ในฐานะหาเช้ากินค่ำ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่านายสุวรรณจะได้ร่วมกับสามีโจทก์ซื้อที่ดินตามเอกสารหมาย จ.4 ตามที่จำเลยอ้าง พิเคราะห์คำเบิกความของจำเลยที่อ้างว่านายสุวรรณกับสามีโจทก์ได้ร่วมกันซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวก็เป็นเพียงจำเลยทราบจากคำบอกเล่าของนายสุวรรณเอง แต่จำเลยก็ยอมรับว่าไม่รู้ว่านายสุวรรณจะร่วมซื้อด้วยจริงหรือไม่ และที่จำเลยว่า ต่อมาสามีโจทก์ได้ขายที่ดินส่วนที่ร่วมซื้อมาให้กับนายสุวรรณนั้น จำเลยไม่เคยบอกให้คนอื่นรู้เพิ่งมาบอกเมื่อถูกฟ้องคดีนี้ คำเบิกความของจำเลยซึ่งไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนจึงเลื่อนลอย ได้ความจากนายบัวทอง สุริยวงษ์ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของโจทก์และนายสุวรรณว่า นายสุวรรณเป็นเพียงคนดูแลทรัพย์สินและทำเลี้ยงบิดามารดาเท่านั้น นอกจากนี้ โจทก์มีพยานเอกสารสัญญาซื้อขายซึ่งสามีโจทก์เป็นผู้ซื้อและนางนางเป็นผู้ขายที่ดินประมาณ 70 ไร่ ตามเอกสารหมาย จ.2 มาแสดงทั้งยังมีนายบุญยังหรือบุญทัน สืบจากมี พยานในเอกสารฉบับนั้นมาเบิกความประกอบว่า สามีโจทก์เป็นคนซื้อที่พิพาทแปลงใหญ่จากนางนางแต่ผู้เดียว โดยมีนายสุวรรณเป็นคนเขียนสัญญาเองและเมื่อพิเคราะห์ น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 แล้ว น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าทิศใต้จดที่โจทก์ส่วน น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 ระบุว่าทิศเหนือที่ น.ส.3เลขที่ 114 (น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4) เห็นได้ว่าที่ดินทั้งสองแปลงนี้เป็นที่ดินผืนเดียวกัน และที่จำเลยอ้างว่าที่ดิน น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 จำเลยได้มาจากบิดามารดาโจทก์ยกให้นั้น ก็ขัดกับแนวเขตของ น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 ซึ่งออกในปี 2509 ว่า ส่วนที่จำเลยนำไปขอออก น.ส.3 ก. นั้น เป็นที่ดินของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์โดยนายประสาทวิทย์สามีโจทก์ซื้อมาจากนางนางแล้วมอบให้นายสุวรรณสามีจำเลยครอบครองทำกินแทน และแม้เนื้อที่รวมกันแล้วจะไม่ตรงตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ก็ตามก็ไม่เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ทั้งนี้เพราะเนื้อที่ตามสัญญาซื้อขายเป็นเนื้อที่โดยประมาณเท่านั้น ข้อเถียงของจำเลยที่ว่าที่ดินตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.3 ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแปลงใหญ่ เนื้อที่รวม 70 ไร่ ซื้อมาจากนางนางนั้นจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีโจทก์และของโจทก์ร่วมกันโดยสามีโจทก์ซื้อมาจากนางนางและเมื่อซื้อมาแล้วนายประสาทวิทย์สามีโจทก์มอบให้นายสุวรรณครอบครองทำกินแทน แม้ต่อมานางนางจะยื่นคำขอออกน.ส.3 เลขที่ 114 เอกสารหมาย จ.4 ก็เป็นการกระทำภายหลังจากที่นาง นางได้ขายที่ดินพิพาทให้สามีโจทก์และโจทก์ไปแล้วตามเอกสารหมาย จ.1 ดังนี้หาทำให้นางนางกลับเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกไม่ เมื่อนางนางไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ต่อมาแม้นางนางจะได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้นายสุวรรณก็หาทำให้นายสุวรรณมีสิทธิดีไปกว่านางนางผู้โอนไม่ กรณีที่นายสุวรรณกระทำการดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองโดยเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังสามีโจทก์และโจทก์ประการใดที่ดินพิพาทยังคงเป็นของสามีโจทก์และโจทก์โดยนายสุวรรณเป็นผู้ครอบครองแทน สำหรับที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229เอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยไปขอออก น.ส.3 ก. ในนามจำเลยนั้น ก็มิได้หมายความว่านายสุวรรณหรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังสามีโจทก์หรือโจทก์เช่นกัน ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 114 ก็ดี ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229 ก็ดี เป็นการสืบสิทธิของนายสุวรรณสามีจำเลย จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์แม้จำเลยจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเอาที่ดินคืนภายใน 1 ปีนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ขณะที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่า จำเลยได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือในที่ดินพิพาทไปยังโจทก์ การที่โจทก์แถลงคัดค้านในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 227/2528 ของศาลชั้นต้นว่า ได้ทวงถามนายสุวรรณถึงที่ดินพิพาทนายสุวรรณผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอนั้น ถือไม่ได้ว่านายสุวรรณได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทไปยังโจทก์แล้ว ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หาได้ไม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการขายที่ดินพิพาทน.ส.3 เลขที่ 114 ระหว่างนางนาง ปัสทิสามะ กับนายสุวรรณ สุริยวงษ์ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2509 นั้น เป็นการเกินคำขอและเป็นการกระทบสิทธิของนางนางซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีเป็นเรื่องโจทก์ต้องไปดำเนินการเอง จึงสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 114 ระหว่างนางนาง ปัสทิสามะกับนายสุวรรณ สุริยวงษ์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์