แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะเป็นข้อที่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุ ของจำเลยที่ 3 ร่วมกันเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ โจทก์ณ สำนักงานของจำเลยที่ 3 ประกอบกับการที่ทนายของจำเลย ที่ 3กับจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดตามหนังสือของโจทก์ที่ขอให้ ชำระหนี้ จึงแสดงว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เห็นชอบในการทำ สัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 และที่ 3จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา ประนีประนอมยอมความ เมื่อมิใช่เป็นเรื่องตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กันตามปกติ แต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ให้กระทำแทนแต่อย่างใดไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ตอกเสาเข็มฐานรากเพื่อก่อสร้างอาคาร ทำให้บ้านเรือนโจทก์เสียหายเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 800,000 บาทจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์ไปแล้วจำนวน 480,000 บาทยังค้างชำระอยู่อีก 320,000 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงิน330,000 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดจากต้นเงิน320,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2529 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของบ้านบ้านหลังดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 4 มิได้เป็นตัวแทนเชิดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นลายมือปลอม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 330,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 320,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2529 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 9,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 4 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 ได้ตอกเสาเข็มฐานรากอาคารของจำเลยที่ 1 ทำให้บ้านโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาเมื่อวันที่21 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 800,000 บาท ได้ชำระไปบางส่วนยังค้างชำระอยู่จำนวน 320,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายที่ค้างชำระดังกล่าว เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพร้อมด้วยคำขอบังคับทั้งได้อ้างอิงสิทธิซึ่งเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาคดีได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 2เป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้าง เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 สำรวจความเสียหาย ต่อมาได้มีการเจรจาเรื่องค่าเสียหาย และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.9 ปรากฏว่าสัญญานั้นได้ทำกันที่สำนักงานบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัดจำเลยที่ 3 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 วิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ได้ทำการเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของบริษัทจำเลยที่ 3 แสดงว่าบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้เห็นชอบแล้ว มิฉะนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 5 จะมาเจรจาเรื่องค่าเสียหายและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณสำนักงานของจำเลยที่ 3 ได้อย่างไร ทั้งภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว เมื่อโจทก์มีหนังสือขอให้ชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 ว่าทนายผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 3 ก็ยอมรับผิดและเมื่อบริษัทจำเลยที่ 3 แจ้งเรื่องความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้บริษัทจำเลยที่ 1 ทราบ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.15 ว่า จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับผิดเช่นกัน เอกสารทั้ง 2 ฉบับ จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ก็ด้วยความเห็นชอบของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2ที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทนของตนทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ผู้สุจริต จำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาโต้แย้งว่าไม่ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทน สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพัน จำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น เห็นว่ากรณีตามที่โจทก์ฟ้องนี้มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 กับที่ 3 ตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำแทนแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว”
พิพากษายืน.