แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาซื้อขายอาคารเพื่อรื้อถอนไป จำเลยที่ 1ยินยอมรับผิดในความเสียหายที่เกิดแก่เทศบาลเมืองสระบุรีผู้ขายและบุคคลภายนอกอันเนื่องจากการรื้อถอนอาคารและเก็บขนวัสดุที่รื้อถอนของจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อทั้งสิ้นและเมื่อรื้อถอนตึกแถวแล้ว ตึกพังลงทับสายโทรศัพท์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ก็ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสระบุรีไว้เป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้จ้างจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 4 คน ให้ช่วยกันรื้อถอนตึกแถวตลาดเทศบาลเมืองสระบุรี การทำงานของจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมและสั่งการของจำเลยที่ 1 อย่างใกล้ชิด แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำการรื้อตึกแถวด้วยตนเองเพียงแต่ จ้างแรงงานของจำเลยที่ 2 กับพวก เพราะหากจำเลยที่ 1 ไม่มีความประสงค์จะรื้อถอนด้วยตนเอง ก็ไม่มีเหตุที่จะยอม ทำสัญญายอมรับผิดชอบเรื่องความเสียหายไว้ล่วงหน้า อีกทั้งโจทก์เคยเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับจำเลยที่ 1 แต่ตกลงกันไม่ได้ โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่าจำเลยที่ 1 ได้อ้างเหตุผลที่ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และกระทำการ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น9 คูหาครึ่ง ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุถนน พหลโยธินตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี โดยประมูลซื้ออาคารดังกล่าวเพื่อรื้อถอนไป จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนอาคารดังกล่าวโดยในการรื้อถอนนี้จำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมและสั่งการอย่างใกล้ชิดจากจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันรื้อถอนอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นดังกล่าว ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สบ.1 ถนนพหลโยธิน อำเภอปากเพรียวอำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ระมัดระวัง กล่าวคือ จำเลยทั้งสองทำการรื้อถอนโดยใช้กำลังทุบกระทุ้งอาคารดังกล่าวโดยแรง มิได้จัดหาหรือจัดการป้องกันอันตรายจากการที่ตึกอาคารดังกล่าวจะพังทลายลงมาเป็นเหตุให้อาคารตึกพังล้มทับสายเคเบิลโทรศัพท์ที่แขวนอยู่บนเสาไฟฟ้าริมถนนพหลโยธินใกล้อาคารดังกล่าว ทำให้สายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ขาดเสียหายใช้การไม่ได้ โจทก์ต้องซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่เสียหายหลายรายการ ดังปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 รวมเป็นเงิน 74,560 บาท ความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนชดใช้ค่าเสียหาย 74,560 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 2 ให้ทำการรื้อถอนอาคารตึกแถวโดยมีข้อตกลงว่า หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมการทำงานหรือสั่งการใด ๆ ในการรื้อถอนจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้เงินจำนวน 55,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 จำเลยที่ 1 ได้ตกลงยินยอมรับผิดในความเสียหายที่เกิดแก่เทศบาลเมืองสระบุรีผู้ขายและบุคคลภายนอกอันเนื่องจากการรื้อถอนอาคารและเก็บขนวัสดุที่รื้อถอนของจำเลยที่ 1ผู้ซื้อทั้งสิ้น และเมื่อรื้อถอนตึกแถวแล้ว ตึกพังลงทับสายโทรศัพท์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ก็ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสระบุรี ไว้เป็นหลักฐาน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้จ้างจำเลยที่ 2 กับพวกอีก4 คน ให้ช่วยกันรื้อถอนตึกแถวตลาดเทศบาลเมืองสระบุรีการทำงานของจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมและสั่งการของจำเลยที่ 1อย่างใกล้ชิด จำเลยที่ 2 และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นได้เคยเตือนจำเลยที่ 1 ถึงเรื่องความปลอดภัยในการรื้อถอน จำเลยที่ 1ไม่เชื่อฟัง คงต้องการเพียงให้จำเลยที่ 2 กับพวกรื้อถอนให้เสร็จไปโดยรวดเร็ว ซึ่งตามเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำการรื้อตึกแถวด้วยตนเองเพียงแต่จ้างแรงงานจำเลยที่ 2 กับพวก หากจำเลยที่ 1ไม่มีความประสงค์จะรื้อถอนด้วยตนเอง ก็ไม่มีเหตุที่จะยอมทำสัญญายอมรับผิดชอบเรื่องความเสียหายไว้ล่วงหน้าและน่าเชื่อว่าในระหว่างรื้อถอนจำเลยที่ 1 ได้ควบคุมและดูแลอย่างใกล้ชิดดังที่จำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้ในบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีนอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตรีปราโมทย์ ทัพศิริ พยานโจทก์อีกว่าได้เคยเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับจำเลยที่ 1 แต่ตกลงกันไม่ได้โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่าจำเลยที่ 1 ได้อ้างเหตุผลที่ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงฟังประกอบพยานเอกสารให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ได้จ้างเหมาจำเลยที่ 2ปรากฏตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นการจ้างทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในความประมาทของจำเลยที่ 2 นั้นเห็นว่า ปรากฏตามบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1ว่า จำเลยที่ 1 เพิ่งให้จำเลยที่ 2 เซ็นสัญญาหลังเกิดเหตุแล้วที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าถูกนายทหารบังคับให้ไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสระบุรี และได้ให้การว่าจำเลยที่ 1 จ้างเหมาไม่ได้ให้การตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 ที่ยอมเซ็นชื่อในเอกสารดังกล่าวเพราะกลัวไม่ได้กลับบ้านนั้น เป็นคำกล่าวอ้างของจำเลยที่ 2 ปากเดียวลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือ และความข้อนี้ก็ได้ความจากพันตำรวจตรีเธียรชัย พันธ์งาม พยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การว่า เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือ จำเลยที่ 1 ได้ควบคุมดูแลเร่ง ให้รื้อถอนให้เสร็จไปโดยเร็ว อ้างว่าเป็นงานด่วน ขณะจำเลยที่ 2 แจ้งความเห็นมีนายทหารไปด้วย แต่ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องหรือบังคับจำเลยที่ 2แต่อย่างใด จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความเป็นจริง ไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น