คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20504/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสองว่ากระทำผิดด้วยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจากการถูกฟันด้วยมีดแตกต่างไปจากที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยเจตนาโดยเล็งเห็นผลว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจซึ่งเป็นสาระสำคัญ หาใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 80, 83, 91, 288, 371 บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 844/2552 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 50 บาท ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท รวมจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,050 บาท อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้คนละ 1 ปี โดยวางเงื่อนไขคุมความประพฤติดังนี้ ให้จำเลยทั้งสองมารายงานตัวต่อผู้พิพากษาสมทบ 3 เดือนต่อครั้ง ห้ามจำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและสิ่งมึนเมาทุกชนิดห้ามจำเลยทั้งสองคบหาสมาคบกับบุคคลที่มีความประพฤติไม่ดี ห้ามจำเลยทั้งสองเที่ยวเตร่ยามวิกาลและเล่นการพนัน กับให้จำเลยทั้งสองเข้าศึกษาต่อหรือทำงานอาชีพเป็นกิจจะลักษณะหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้ส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 9 จังหวัดสงขลา มีกำหนดคนละ 10 วัน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 145 ส่วนคำขอของโจทก์ที่ขอให้บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 นั้น ไม่อาจบวกโทษได้ เนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษจำเลยที่ 2 คำขอดังกล่าวและฟ้องโจทก์ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ยุติในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะนายเจษฎา ผู้เสียหาย และนายอภิเดชปักเบ็ดอยู่ที่คูน้ำซึ่งคั่นระหว่างริมถนนสายหนองหอยกับทุ่งนามีจำเลยทั้งสอง นายเจษฎา และเด็กชายอีกสองคนนั่งรถจักรยานยนต์พ่วงข้างขับไปจอดห่างประมาณ 2 เมตร แล้วจำเลยทั้งสองกับนายเจษฎาลงจากรถ โดยนายเจษฎาถือมีด 1 เล่ม ขนาดใบมีดยาวประมาณ 17 นิ้ว กว้างประมาณ 2 นิ้ว และด้ามยาวประมาณ 7 นิ้ว จำเลยที่ 1 ถือมีด 1 เล่ม ขนาดใบมีดยาวประมาณ 8 นิ้ว และกว้างประมาณ 2 นิ้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ถืออาวุธใด ต่อจากนั้นนายเจษฎาเข้าไปถีบหน้าอกนายอภิเดชเป็นเหตุให้นายอภิเดชตกคูน้ำ ผู้เสียหายเดินเข้าไปถามนายเจษฎาว่าถีบนายอภิเดชด้วยสาเหตุใด นายเจษฎาตอบทำนองว่าผู้เสียหายอยากจะมีเรื่องด้วยหรือ ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 เข้าไปสะกิดผู้เสียหายทางด้านหลัง เมื่อผู้เสียหายหันมาดูก็ถูกจำเลยที่ 1 ใช้มีดฟันที่บริเวณศีรษะ 1 ครั้ง และถีบจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายตกคูน้ำหลังจากนั้นจำเลยทั้งสองกับนายเจษฎาขึ้นรถจักรยานยนต์พ่วงข้างขับหลบหนีไป วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปรับการตรวจรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลสิงหนคร แพทย์หญิงธัญภรณ์ เป็นผู้ตรวจรักษาและพบว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่บริเวณหนังศีรษะเยื้องไปทางด้านหลังยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะแต่ไม่มีรอยแตกที่กะโหลกศีรษะ แพทย์หญิงธัญภรณ์ให้ผู้เสียหายนอนพักที่โรงพยาบาล 2 คืน แล้วไม่พบอาการแทรกซ้อนทางสมอง แพทย์หญิงธัญภรณ์บันทึกรายการที่ได้ตรวจและให้ความเห็นไว้ตามสำเนาผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ในวันที่ 11 เมษายน 2554 ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโทเชาว์ พนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองและนายเจษฎา ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 จำเลยทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพันตำรวจโทเชาว์และให้การปฏิเสธเรื่อยมา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่
พิเคราะห์แล้วโจทก์ฎีกาว่า ตามคำเบิกความของผู้เสียหายและนายอภิเดชได้ความว่าหลังจากผู้เสียหายตกลงไปในคูน้ำแล้วนายอภิเดชได้ช่วยนำผู้เสียหายซึ่งหมดสติขึ้นจากคูน้ำ ดังนั้น จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าหากนายอภิเดชไม่เข้าช่วยนำผู้เสียหายขึ้นจากคูน้ำผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้เป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดในส่วนนี้โจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ซึ่งข้อเท็จจริงในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจากการถูกฟันด้วยมีดแตกต่างไปจากเรื่องที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยเจตนาโดยย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจซึ่งเป็นสาระสำคัญข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างในฎีกาข้อนี้จึงหาใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ล้วนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share