คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1387/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มาตรา 30 วรรคหก (2) แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ได้บัญญัติมิให้นำมาตรา 30 ดังกล่าว มาใช้แก่บุคคลที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากร โดยได้ทำการประเมินหรือสั่งก่อนวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือลงวันที่30 เมษายน 2529 แจ้งให้โจทก์นำภาษีเงินได้นิติบุคคลไปชำระอันเป็นเวลาภายหลังที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับแล้ว ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นคำขอตามแบบ อ.1 และชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด โจทก์จึงชอบที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดตาม ป.รัษฎากร เมื่อโจทก์ได้สิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 ของพระราชกำหนดดังกล่าวโดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้ว การประเมินและคำสั่งของจำเลยตามหนังสือลงวันที่30 เมษายน 2529 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลบังคับ เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าสืบเนื่องจากการที่ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ลงวันที่28 มกราคม 2529 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529มาตรา 30 บัญญัติถึงกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรซึ่งยังไม่ได้เสียภาษีอากรหรือเสียไว้ไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจติงหรือไม่บริบูรณ์ ถ้าได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเดือนกรกฏาคม 2529 และได้ชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดซึ่งต้องไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันยื่นคำขอ ก็ให้ได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวนหรือประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้หรือรายรับที่มีอยู่ก่อนหรือในปีภาษี 2527 หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 31ธันวาคม 2527 โจทก์มีความประสงค์จะขอใช้สิทธิในการขอเสียภาษีแต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2529 อันเป็นเวลาภายหลังที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับ แต่เป็นระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างเวลาที่กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรใช้สิทธิในการเสียภาษีอากรตามมาตรา 30 ดังกล่าวได้ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้มีหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรมายังห้างหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์แจ้งความประสงค์จะทำการตรวจสอบการเสียภาษีอากรของโจทก์ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523-2525 ขอให้หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ไปพบเพื่อให้ถ้อยคำประกอบการตรวจสอบพร้อมทั้งให้นำเอกสารต่าง ๆไปทำการตรวจสอบด้วย ปรากฏตามสำนวนท้ายฟ้อง แต่โจทก์ไม่ได้รับหมายเรียกเนื่องจากโจทก์ได้เลิกกิจการแล้วและอยู่ระหว่างการจดทะเบียนเลิกกิจการ ทั้งขณะนั้นโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาตามที่อยู่ซึ่งได้ส่งหมายเรียก โจทก์จึงมิได้ไปพบกับเจ้าพนักงานประเมินต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2529 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์รวม3 รายการ คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีพ.ศ. 2523, 2524 และ 2525 ซึ่งโจทก์จะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม 1,522,263.79 บาท 1,264,141.27 บาท และ 1,313,833 บาทตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 10710/2/03381 หนังสือที่1070/2/03382 และหนังสือที่ 1071/2/03383 ลงวันที่ 30 เมษายน 2529ทั้งสามฉบับปรากฏตามสำเนาท้ายฟ้องตามลำดับ รวมเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม 4,082,238.06 บาท ซึ่งโจทก์จะต้องนำไปชำระภายใน 30 วัน การประเมินดังกล่าวเป็นการตรวจสอบไต่สวน ประเมินและสั่งให้เสียภาษีอากร สำหรับเงินได้หรือรายรับในรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดก่อน วันที่ 31 ธันวาคม 2527 และเป็นเวลาภายหลังจากวันที่พระราชกำหนดฯ ใช้บังคับสำหรับกรณีของโจทก์เป็นกรณีที่อยู่ในระหว่างกำหนดเวลาให้สิทธิแก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรที่จะใช้สิทธิตามมาตรา 30 ซึ่งตามเจตนารมณ์ของพระราชกำหนดฯเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรที่เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง ได้ยื่นคำขอและชำระภาษีอากรได้จนถึงเดือนกรกฏาคม 2529ซึ่งระหว่างนี้เจ้าพนักงานประเมินย่อมไม่มีอำนาจที่จะเรียกตรวจแบบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรได้ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการละเมิดและฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน 2529 อันเป็นเวลาที่อยู่ในระหว่างระยะเวลาที่อนุญาตให้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นคำขอตามแบบ อ.1 ต่อจำเลยที่ 1 สำหรับเงินได้หรือรายรับในรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2527และในวันเดียวกัน โจทก์ได้ขอชำระภาษีอากรเป็นเงิน 289,449.16 บาทณ กองคลัง กรมสรรพากร ปรากฏตามสำเนาท้ายฟ้อง โจทก์จึงได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดฯ และมีผลเป็นการลบล้างการตรวจสอบ การประเมิน และคำสั่งให้เสียภาษีอากรของจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มตามคำสั่งของจำเลยแต่ประการใด ทั้งกรณีของโจทก์เป็นกรณีที่ไม่ต้องยื่นคำคัดค้านหรืออุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน จึงขอให้ศาลเพิกถอนการตรวจสอบและการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523 2524 และ 2525ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1070/2/03381, ที่1070/2/03382 และ ที่ 1020/2/03383 ลงวันที่ 30 เมษายน 2529ทั้งสามฉบับหรือมีคำสั่งแสดงว่าหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวไม่มีผลบังคับต่อโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ผู้ที่จะได้รับการยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวนประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดอาญาตามประมวลรัษฎากร จะต้องยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนด(แบบ อ.1) ก่อนการประเมินภาษีอากรนั้น และจะต้องเสียภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียตามมาตรา 30 ภายหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ซึ่งต้องไม่เกินสองปี นับแต่วันที่ยื่นคำขอตราบใดที่ยังไม่ได้ยื่นคำขอและชำระภาษีเงินได้ภายในกำหนดตามมาตรา 30เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจทำการตรวจสอบไต่สวนประเมินภาษีของผู้นั้นตามประมวลรัษฎากร และภายในอายุความตามกฎหมายผู้ที่จะได้รับยกเว้นตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดฯ จะได้รับยกเว้นเฉพาะเงินได้หรือรายรับที่มีอยู่ก่อนหรือในปีภาษีพ.ศ. 2527 หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดลงก่อนหรือในวันที่31 ธันวาคม พ.ศ. 2527 เท่าที่ยังมิได้มีการตรวจสอบไต่สวนประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรเท่านั้น เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ได้นำหมายเรียกเลขที่ กค.0821/ต.347 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2529ไปส่งแก่โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ซึ่งขณะนั้นโจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเลิกห้าง แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับหมายเรียก เจ้าพนักงานจึงปิดหมายไว้ ณ สถานการค้าของโจทก์ โจทก์มิได้ไปพบเจ้าพนักงานตามกำหนด ทั้งมิได้นำบัญชีและเอกสารไปให้ตรวจสอบ จำเลยที่ 1 จึงอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลปี พ.ศ. 2520-2525 และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2529 สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับยกเว้นตามมาตรา30 จึงเป็นอันหมดไป และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินไว้ แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย ขอให้ศาลยกฟ้อง
ทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงดังปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2529 แล้วต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1070/2/03381, ที่1070/2/03382 และที่ 1070/2/03383 ลงวันที่ 30 เมษายน 2529ทั้งสามฉบับ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์โดยได้รับยกเว้นตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529หรือไม่นั้น เห็นว่า มาตรา 30 วรรคหก (2) แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวได้บัญญัติมิให้นำมาตรา 30 มาใช้แก่บุคคลที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรโดยได้ทำการประเมินหรือส่งก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้นข้อที่จะต้องพิจารณาจึงมีว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้โจทก์เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 อันเป็นวันที่พระราชกำหนดฯ ใช้บังคับหรือไม่ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏว่า จำเลยที่ 2ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 เมษายน 2529 แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลสั่งให้โจทก์นำภาษีเงินได้นิติบุคคลไปชำระ อันเป็นเวลาภายหลังที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับแล้ว ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำขอตามแบบ อ.1 และชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน2529 ดังปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 9 และ 10 อันเป็นการยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนดและชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด โจทก์จึงชอบที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดฯ โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร
สำหรับข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิจะได้รับยกเว้นตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดฯ เพราะจำเลยได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2529ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอเสียภาษีตามแบบ อ.1 และชำระหนี้ เมื่อวันที่4 มิถุนายน 2529 นั้น เห็นว่า มาตรา 30 วรรคหก (2) หาได้บัญญัติไว้เช่นนั้นไม่ ผู้ที่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรา 30 นั้นหมายถึงผู้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือให้นำส่งภาษีอากรโดยได้ทำการประเมินหรือสั่งก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับเท่านั้น เพราะมิฉะนั้นแล้วบทบัญญัติมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดฯ ที่ผ่อนผันให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรที่ยังไม่ได้เสียภาษีอากรหรือเสียไว้ไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรภายในเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2529 ก็จะไม่มีผล อุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์ได้สิทธิประโยชน์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้วการประเมินและคำสั่งของจำเลยลงวันที่ 30 เมษายน 2529 ทั้งสามฉบับจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลบังคับเสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 20,000 บาทแก่โจทก์”.

Share