แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญฯ มาตรา 14 วรรคสอง มิได้ใช้ถ้อยคำแต่เพียงว่า “เวลาราชการ” แต่ใช้คำว่า “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ” ซึ่งมีความหมายกว้างว่า เพราะ “เวลาราชการ” นั้น หมายถึงเวลาราชการจริง ๆ ส่วน “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ” หมายถึงเวลาราชการจริง ๆ รวมทั้งเวลาราชการที่ไม่ใช่เวลาราชการจริง ๆ ด้วย เช่นมาตรา 24 วรรคสองให้นับเวลาราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่ได้รับประกาศให้กฎอัยการศึกเป็นทวีคูณเป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เวลาราชการจริง ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ด้วยเหตุนี้มาตรา 14 วรรคสอง จึงไม่ใช้ถ้อยคำว่า “ถ้าข้าราชการผู้ใดมีเวลาราชการครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว” แต่ใช้ว่า “ถ้าข้าราชการผู้ใดมีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว” เพื่อให้มีความหมายกว้างและเพื่อประโยชน์แก่ข้าราชการผู้ลาออกจากราชการนั่นเอง ดังนั้น เมื่อโจทก์มีเวลาราชการจริง ๆ 17 ปี 10 เดือน 30 วัน และมีเวลาราชการทวีคูณในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกอีก 6 ปี 9 เดือน 27 วัน หักวันลากิจ ลาป่วยระหว่างเวลาราชการทวีคูณแล้ว รวมเป็นเวลาราชการทั้งสิ้น 24 ปี 7 เดือน 18 วัน อันเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญตามนัยดังกล่าว แต่โดยที่มาตรา 4 ประกอบด้วยมาตรา 29 วรรคแรก บัญญัติให้นับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญแต่จำนวนปีเศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็นหนึ่งปี
ซึ่งโจทก์มีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญที่เป็นเศษของปีถึงครึ่งปี คือ 7 เดือน 18 วัน จึงต้องนับเป็นหนึ่งปีเมื่อรวมกัน 24 ปีแรกจึงเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบ 25 ปีบริบูรณ์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำนาญ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญซึ่งขณะยื่นฟ้องไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้แน่นอนโดยโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนหนึ่งจำนวนใดจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยรับราชการเป็นข้าราชการตุลาการและโจทก์ได้ลาออกจากราชการโดยมีเวลารับราชการจริง ๆ ๑๗ ปี ๑๐ เดือน ๓๐ วัน และมีเวลาราชการทวีคูณในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกอีก ๖ ปี ๙ เดือน ๒๗ วัน เมื่อรวมกันและหักวันลากิจ ลาป่วยระหว่างเวลาราชการทวีคูณแล้ว รวมเป็นเวลา ๒๔ ปี ๗ เดือนเศษ ซึ่งตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๒๙ วรรคแรก บัญญัติว่า เศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็นหนึ่งปี โจทก์จึงมีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์ และมีสิทธิได้รับบำนาญปกติด้วยเหตุรับราชการนานตามมาตรา ๙, ๑๔ โจทก์ได้ทำเรื่องราวขอรับบำนาญต่อกระทรวงยุติธรรมเจ้าสังกัด ต่อมากรมบัญชีกลางมีหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า โจทก์มีเวลาราชการไม่ครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์ ไม่มีสิทธิได้รับบำนาญ คงมีสิทธิได้รับบำเหน็จเหตุทดแทนอย่างเดียว โจทก์ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมยืนยันเหตุผลกฎหมายว่าโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญ ขอให้กระทรวงยุติธรรมชี้ให้จำเลยทบทวน ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มีหนังสือถึงจำเลยพร้อมกับส่งสำเนาหนังสือของโจทก์ไปให้จำเลยพิจารณา และต่อมากระทรวงการคลังได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าที่กรมบัญชีกลางสั่งจ่ายบำเหน็จให้โจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญ และขอให้บังคับจำเลยมีคำสั่งตามสิทธิให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์มีสิทธิได้รับแต่เพียงบำเหน็จชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะการลาออกจากราชการเพื่อขอรับบำนาญปกติด้วยเหตุรับราชการนานนั้นต้องมีเวลารับราชการครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์จริง ๆ แต่โจทก์มีเวลาราชการแท้ ๆ เพียง ๑๗ ปี ๑๐ เดือน ๓๐ วัน และมีเวลาทวีคูณซึ่งหักวันลาป่วยลากิจในระหว่างเวลาทวีคูณ เหลือเวลาทวีคูณ ๖ ปี ๘ เดือน ๑๘ วัน รวมแล้วโจทก์มีเวลาราชการไม่ครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์ อนึ่ง โจทก์เสียค่าะรรมเนียมศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดชี้สองสถานและสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา ๑๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติว่า “ถ้าข้าราชการผู้ใดมีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์แล้วประสงค์จะลาออกจากราชการ ก็ให้ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ลาออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุรับราชการนานได้”
คำว่า “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ” นั้น มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ให้บทนิยามไว้ว่า “หมายความว่าเวลาราชการที่ข้าราชการรับราชการมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันสุดท้ายที่ได้รับเงินเดือนตามเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้” ศาลฎีกาได้พิจารณาบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้โดยตลอดแล้ว ปรากฏว่าพระราชบัญญัตินี้ได้บัญญัติเกณฑ์และวิธีการไว้ในลักษณะ ๑ หมวด๒ ว่าด้วยเวลาราชการและการนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ดังนั้นการที่จะพิจารณาว่าข้าราชการผู้ใดมีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์แล้วหรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในลักษณะ ๑ หมวด ๒ ว่าด้วยเวลาราชการและการนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ
ในลักษณะ ๑ หมวด ๒ ว่าด้วยเวลาราชการและการนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญนี้ ได้บัญญัติถึงเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับเวลาราชการและเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญไว้หลายประการ โดยเฉพาะมาตรา ๒๔ วรรคสองบัญญัติว่า “นับแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้เป็นต้นไป ข้าราชการผู้ใดประจำปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตใดที่ได้มีประกาศกฎอัยการศึก ให้นับเวลาราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างนั้นเป็นทวีคูณ”
และมาตรา ๒๙ วรรคแรกบัญญัติว่า “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญให้นับแต่จำนวนปี เศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็นหนึ่งปี” ดังนั้น การนับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญจึงต้องนับตามเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔ วรรคสองดังกล่าวข้างต้นมิได้ใช้คำแต่เพียงว่า “เวลาราชการ” เท่านั้น แต่ใช้คำว่า “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ” ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำว่า “เวลาราชการ” เพราะ”เวลาราชการ” นั้น หมายถึงเวลาราชการจริง ๆ เท่านั้น ส่วน “เวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญนั้นหมายถึงเวลาราชการจริง ๆ และรวมทั้งเวลาราชการที่ไม่ใช่เวลาราชการจริง ๆ ด้วย เช่น มาตรา ๒๔ วรรคสองให้นับเวลาราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่ได้มีประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นทวีคูณเป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เวลาราชการจริง ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ด้วยเหตุนี้มาตรา ๑๔ วรรคสอง จึงไม่ใช้ถ้อยคำว่า “ถ้าข้าราชการผู้ใดมีเวลาราชการครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว” ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีความหมายกว้างและเพื่อประโยชน์แก่ข้าราชการผู้ลาออกจากราชการนั่นเอง ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น โจทก์มีเวลาราชการจริง ๆ รวม ๑๗ ปี ๑๐ เดือน ๓๐ วัน และมีเวลาราชการทวีคูณในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึก ๖ ปี ๙ เดือน ๒๗ วัน เมื่อรวมกันและหักวันลากิจ ลาป่วยระหว่างเวลาราชการทวีคูณแล้วเป็นเวลาราชการทั้งสิ้น ๒๔ ปี ๗ เดือน ๑๘ วัน อันเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญตามนัยดังกล่าวข้างต้นแต่โดยที่มาตรา ๔ ประกอบด้วยมาตรา ๒๙ วรรคแรก บัญญัติให้นับเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญแต่จำนวนปี เศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็นหนึ่งปีโจทก์มีเวลาราชการสำหรับบำเหน็จบำนาญที่เป็นเศษของปีถึงครึ่งปี คือ ๗ เดือน ๑๘ วัน จึงต้องนับเป็นหนึ่งปี เมื่อรวมกับเวลา ๒๔ ปีแรกจึงเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์แล้วตามมาตรา ๑๔ วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำนาญ
ที่จำเลยโต้แย้งมาในคำแก้ฎีกาว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญซึ่งขณะยื่นฟ้องไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้แน่นอน โดยโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนหนึ่งจำนวนใด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หาใช่คดีมีทุนทรัพย์ไม่ โจทก์เสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ถูกต้องแล้ว
พิพากษากลับ เป็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญ ให้จำเลยดำเนินการตามสิทธิของโจทก์ต่อไป