คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยเพียงว่า ให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุดนั้น เห็นได้ว่า ไม่ได้กำหนดให้ไถ่ถอนการจำนองเมื่อใด เอาความแน่นอนในการที่จะพิเคราะห์ว่าภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ไม่ได้ จึงไม่เป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ ๒๓ เมษายน ๒๕๐๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๕,๐๐๐๐ บาท กำหนดชำระหนี้ภายใน ๒๓ ตุลาคม ๒๕๐๑ ยอมให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยจำเลยที่ ๑ จำนองที่นาพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว และในวันเดียวกันนั้น จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไว้แก่โจทก์ด้วย แล้วจำเลยที่ ๑ เบิกเงินไปจากโจทก์ไม่เคยส่งดอกเบี้ยเลย ดอกเบี้ยจึงทบต้นตามที่ตกลงกันตลอดมา เงินที่เบิกเกินบัญชีและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๐,๐๒๕.๔๒ บาท แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบเพื่อไถ่ถอนการจำนองแล้วจำเลยก็เพิกเฉย จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๕๐,๐๒๕.๔๒ บาทแก่โจทก์ และไถ่ถอนการจำนอง ถ้าไม่ไถ่ก็ขอให้เอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอางเงินใช้หนี้โจทก์ หากไม่พอก็ขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองขายใช้หนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่าในปี พ.ศ.๒๔๙๗ ถึง ๒๔๙๘ จำเลยที่ ๑ ได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากธนาคารนครหลวงไทยจำกัด เพียง ๓๗,๐๗๕ บาท ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๐๑ ธนาคารโจทก์ตั้งขึ้น ได้มีการโอนลูกค้าของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด รวมทั้งจำเลยด้วยมาเป็นลูกค้าของธนาคารโจทก์ ในการโอนได้คิดค่าธรรมเนียมพิเศษ และดอกเบี้ยเกินอัตรา จึงกลายเป็นว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ถึง ๑๐๕,๐๐๐ บาท จำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้แทนโจทก์เพทุบายให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจำนอง โดยกรอกจำนวนเงินเอาเอง โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาจำนองไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนอง เพราะโจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ก่อนสืบพยาน จำเลยที่ ๑ รับว่า ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและทำสัญญาจำนองไว้กับโจทก์จริง เมื่อทำสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้เซ็นเช็คเลขที่ ๔๒๐๑,๔๒๐๒ สั่งจ่ายเงินให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เป็นการชำระหนี้ แล้วโอนจำเลยมาเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์นับแต่วันกู้ จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ รับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว และฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่ฟ้อง โดยเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้สินของจำเลยที่ ๑ ทั้งหมด พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๕๐,๐๒๕๓๔๒ บาทแก่โจทก์ และไถ่จำนอง ถ้าไม่ชำระ ก็ให้เอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และจำเลยต้องรับผิดในยอดเงินตามสัญญากู้ พร้อมดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสร์รายวัน เป็นจำนวนเงิน ตามที่โจทก์ฟ้อง
สำหรับปัญหาที่ว่า การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ได้แจ้งเวลาให้จำเลยปฏิบัติเมื่อใด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องบังคับจำนองไม่ได้นั้น ความปรากฎว่า ผู้แทนโจทก์ได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึงจำเลยทวงถามให้ชำระหนี้รายนี้ โดยกำหนดให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุด ในท้ายเอกสาร ปรากฎว่า จำเลยที่ ๑ ได้เซ็นชื่อรับหนังสือไปแล้ว ดังนี้ จึงฟังได้ว่า โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้รายนี้แล้ว ปัญหาคงมีแต่เพียงว่า คำบอกกล่าวนี้เป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๘ บัญญัติว่า ” เมื่อจะบังคับจำนองนั้น ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ในเวลาอันสมควร ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น ฯลฯ “ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหานี้แล้วเห็นว่า ผู้รับจำนองจะต้องกำหนดเวลาการชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรลงไว้ในคำบอกกล่าวนั้นด้วย แต่ในคำบอกกล่าวของโจทก์คดีนี้มีเพียงว่า ให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุดเท่านั้น ไม่ได้กำหนดให้ไถ่ถอนการจำนองเมื่อใด เอาความแน่นอนในการที่จะพิเคราะห์ว่าภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ไม่ได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบ โจทก์ยังมีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะในข้อที่ขอบังคับจำนอง นอกจากที่แก้นี้คงพิพากษายืน

Share