แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกและพยายามลักทรัพย์ แต่ให้ลงโทษฐานบุกรุกซึ่งเป็นบทหนักมาตราเดียวนั้นจะถือว่าเป็นการลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ควบไปด้วยไม่ได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ที่จะกักกันจำเลยได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ฟังได้ว่าจำเลยได้บังอาจปีนรั้วเข้าไปในโรงเรียนวัดบพิตรพิมุขในเวลากลางคืนแล้วเข้าไปลักทรัพย์ของนายนวมไปรวมราคา 970 บาท แต่จำเลยกระทำไปไม่ตลอด จึงถูกจับเสียก่อน ขอให้ลงโทษและกักกันจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364, 365, 335, 80, 41 ให้ลงโทษตามมาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนัก โดยให้จำคุกจำเลย 1 ปี ลดฐานจำเลยให้การรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 6 เดือน เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนด 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่กักกันจำเลย
โจทก์ฎีกาขอให้กักกันจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกและพยายามลักทรัพย์ด้วยก็ตาม แต่การลงโทษจำเลย ศาลลงโทษฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เพียงมาตราเดียวเท่านั้น เช่นนี้จะถือว่าเป็นการลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ควบไปด้วยไม่ได้เพราะการตีความในคดีอาญาต้องตีความตามตัวบทโดยเคร่งครัด และให้เป็นผลดีแก่จำเลย เมื่อเช่นนี้ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดตามที่ระบุไว้ตามฎีกาโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่กักกันจำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์