คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำท้าของคู่ความในศาลนั้น แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งตายก็ยังมีผลผูกพันคู่ความอีกฝ่ายอยู่ ฉะนั้น การสาบานของพยานคนกลางตามคำท้าของคู่ความนั้น แม้จะสาบานภายหลังที่คู่ความฝ่ายหนึ่งตาย และอยู่ในระหว่างที่ยังไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนก็ตามจึงหาตกเป็นโมฆะไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินสวนยางที่ดินปลูกบ้านและที่ดินนารวม ๔ แปลง ราคา ๘,๐๐๐ บาทเป็นของโจทก์ ได้มาโดยรับมรดกจากบิดาแล้วได้ครอบครองทำกินตลอดมา จำเลยโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงของให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามแผนที่กลางออกเป็น ๒ ส่วน แล้วปักหลักชักเส้นจากเหนือไปใต้ให้แก่โจทก์จำเลยคนละส่วน ใครจะได้ส่วนไหน ให้จับสลากกับให้ที่นา ๒ แปลงเป็นของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นางบูงผู้รับมรดกความแทนโจทก์ได้ทำการสาบานไปตามที่โจทก์ผู้มรณะและจำเลยได้ท้ากันไว้นั้นแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะได้ถึงแก่กรรมก็ตาม คำท้าที่โจทก์จำเลยได้ตกลงกันไว้ก็หาได้เสื่อมเสีย หรือตกเป็นโมฆะแต่ประการใดไม่ เมื่อคำท้านั้นยังคงผูกพันคู่ความอยู่ การสาบานที่ได้กระทำไปตามคำท้านั้นจึงใช้ได้ แม้จะได้กระทำภายหลังที่โจทก์ตายแล้ว ก็เป็นการกระทำตามคำท้านั้นเอง ที่จำเลยฎีกาว่าการสาบานตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๔๒ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่าบทมาตรานี้บัญญัติไว้ใจความว่า เมื่อคู่ความในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลมรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี ก็ให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกว่าจะมีบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ หาได้บัญญัติให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย.

Share