คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินซอยพิพาทซึ่งมีผู้ใช้สัญจรไปมาอยู่แล้วให้เป็นทางสาธารณประโยชน์และเคยทำบันทึกตกลงยกถนนซอยพิพาทให้แก่สุขาภิบาลแสดงว่าจำเลยได้แสดงเจตนาอุทิศซอยพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วย่อมมีผลทำให้ถนนซอยพิพาทตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยทันที แม้จำเลยยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอยกเลิกคำขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ยื่นไว้แต่เดิมก็ดี หรือจำเลยบอกเลิกการยกให้ถนนซอยพิพาทต่อสุขาภิบาลก็ดี หาทำให้ถนนซอยพิพาทซึ่งได้กลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ไปแล้วเปลี่ยนสภาพกลับคืนมาเป็นทางเอกชนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินโฉนดที่ ๕๘๐ เฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของนายประเสริฐ นางสายบัว นางละมุด นางละม้าย และจำเลยส่วนที่ดินที่เหลือจำเลยตกลงกับโจทก์ยอมยกให้ทำถนนต่อจากถนนในที่ดินโฉนดที่ ๕๗๘ เพื่อให้เจ้าของที่ดินทั้งห้ารายมีทางออกต่อมานายสอยได้รับเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท แทนจำเลยเป็นค่าตอบแทนที่จะจัดการให้จำเลยกับพวกซึ่งเป็นเจ้าของยกที่ดินโฉนดที่ ๕๗๘ ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ รวมทั้งนำโฉนดไปยื่นแบ่งแยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ด้วย ต่อมาจำเลยกลับใจไม่ยอมไปจดทะเบียนแบ่งแยกหักที่ดินออกเป็นทางสาธารณะ ขอศาลได้บังคับจำเลยแบ่งแยกหักที่ดินโฉนดที่ ๕๗๘ เพื่อให้เป็นทางสาธารณประโยชน์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ตกลงกับโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนต่อจากถนนในที่ดินโฉนดที่ ๕๗๘ จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์เป็นค่าตอบแทนที่ยกถนนในโฉนดที่ ๕๗๘ ให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้นายสอยไปยื่นขอแบ่งแยกซอยสายหยุดอุทิศให้เป็นทางสาธารณะโจทก์กระทำการไม่สุจริต โดยให้นายสอยนำใบมอบอำนาจที่จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือแล้วไปกรอกข้อความเอาเอง จำเลยทราบจึงระงับการแบ่งแยกดังกล่าว นายสอยไม่เคยแสดงเจตนายกถนนซอยสายหยุดอุทิศให้แก่สุขาภิบาลบางเขน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
วันสืบพยานโจทก์ คู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเอกสารที่คู่ความอ้างส่งศาลประกอบกับคำฟ้อง และคำให้การโดยไม่ติดใจสืบพยานอื่นในประเด็นข้อเดียวว่าจำเลยยกซอยสายหยุดอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วหรือไม่ หากฟังได้ดังนั้นจำเลยยอมแพ้หากฟังไม่ได้โจทก์ยอมแพ้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้ยกซอยสายหยุดอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกหักที่ดินตามโฉนดที่ ๕๗๘ ซึ่งจำเลยอุทิศให้เป็นซอยสายหยุดอุทิศ และทำการรังวัดไว้แล้ว ออกเป็นถนนสาธารณประโยชน์ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๕๘๐ จากจำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมแล้ว นายสอยบุตรของจำเลยได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งไปจากโจทก์ โดยรับรองว่าจะให้จำเลยและพวกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๕๗๘ ยอมยกที่ดินถนนซอยสายหยุดอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ รวมทั้งไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้ด้วยหลังจากนายสอยได้รับเงินไปจากโจทก์เพียง ๗ วัน จำเลยก็มอบอำนาจให้นายสอยบุตรของจำเลยไปยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินถนนซอยสายหยุดอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ แม้การจดทะเบียนแบ่งแยกจะมิได้ทำให้สำเร็จลุล่วงไปเพราะจำเลยได้ยื่นคำขอยกเลิกคำขอแบ่งแยกเดิมเสียก่อนก็ตาม เมื่อได้พิจารณาสภาพของถนนซอยสายหยุดอุทิศที่เจ้าของที่ดินได้จดทะเบียนเป็นทางภารจำยอมของที่ดินโฉนดที่ ๕๘๐ และที่ดินโฉนดที่ ๕๔๘ ประกอบแล้ว แสดงว่ามีผู้ใช้สอยถนนซอยพิพาทมาก่อนที่จำเลยจะได้ไปยื่นคำขอให้จดทะเบียนแบ่งแยกดังกล่าวแล้ว เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการที่จำเลยยื่นคำขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินถนนซอยพิพาทซึ่งมีผู้ใช้สัญจรไปมาอยู่แล้วให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าจำเลยแสดงเจตนาอุทิศถนนซอยพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ถนนซอยพิพาทตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยทันที ยิ่งกว่านั้น จำเลยได้ตกลงยกถนนซอยสายหยุดอุทิศให้แก่สุขาภิบาลบางเขนไปแล้วตามข้อความในหนังสือของจำเลยถึงนายอำเภอบางเขน ทางสุขาภิบาลก็ได้รับเอาเป็นถนนสาธารณประโยชน์แล้ว เป็นข้อสนับสนุนให้เห็นได้ชัดว่าถนนซอยสายหยุดอุทิศได้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยสมบูรณ์แล้ว การที่จำเลยยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอยกเลิกคำขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ยื่นไว้แต่เดิมก็ดี หรือจำเลยบอกเลิกการยกให้ถนนซอยพิพาทแก่สุขาภิบาลบางเขนก็ดี หาทำให้ถนนซอยพิพาทซึ่งได้กลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ไปแล้ว เปลี่ยนสภาพกลับคืนมาเป็นทางเอกชนแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share