แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อบังคับของสมาคมบัญญัติว่า ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินเพื่อกิจการของสมาคมได้ และเหรัญญิกจะจ่ายเงินของสมาคมทุกครั้งจะต้องได้รับอนุมัติจากนายกสมาคมก่อน การลงชื่อในเช็คเพื่อจ่ายเงินของสมาคม ให้นายก เหรัญญิกและเลขาธิการลงชื่อร่วมกัน โดยประทับตราของสมาคมไว้ เมื่อข้อบังคับบัญญัติไว้เช่นนี้ จำเลยที่ 2,3,4 จึงทำสัญญาแทนสมาคมได้ สมาคมจึงต้องรับผิดตามสัญญานั้น
สมาคมกู้เงินธนาคารโจทก์โดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชี ต่อมาภายในกำหนดอายุความ นายกสมาคมคนใหม่ได้มีหนังสือถึงธนาคารรับว่าเป็นหนี้ธนาคารโจทก์จริง และขอปิดบัญชี ส่วนหนี้ซึ่งค้างชำระจะขอผ่อนชำระให้จนกว่าจะหมดสิ้น จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ อายุความฟ้องร้องจึงสะดุดหยุดลง คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดหรือในการค้าอย่างอื่นในทำนองเดียวกัน แม้กฎหมายยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นพิเศษก็ดี แต่ถ้าบัญชีเดินสะพัดนั้นมีการหักทอนหนี้และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือ อันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856, 859 และลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ซึ่งลูกหนี้จะเบิกเงินเกินบัญชีไม่ได้ ย่อมไม่มีเหตุที่ธนาคารจะอ้างมาคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไป ทั้งตามกฎหมายก็ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงกู้เงินโจทก์โดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินไม่เกิน ๓๒,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑ เดือน จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ เข้าทำสัญญาค้ำประกันรับผิดชอบต่อโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ค้างชำระหนี้และดอกเบี้ยรวม ๖๕,๘๙๑.๖๘ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระจำเลยได้ให้กรรมการและเลขาธิการติดต่อมาขอผัดหนี้ ในที่สุดก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ตามข้อบังคับของสมาคมไม่มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืนเงิน การที่จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ หากเป็นความจริงก็กระทำไปในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้นำเงินมาใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรับหนังสือทวงถามหนี้ และไม่เคยรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย เลขาธิการของสมาคมจำเลยไม่มีอำนาจรับสภาพหนี้แทนจำเลย คดีของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ศาลยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒, ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๔ ให้การรับว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ไปจริงตามฟ้อง และจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ต่อโจทก์ไว้จริง แต่จำเลยประกันเฉพาะภายในกำหนด ๑ เดือนเท่านั้น ต่อมาโจทก์ได้ขยายเวลากำหนดชำระหนี้อันแน่นอนออกไปให้คณะกรรมการของจำเลยที่ ๑ ทุกชุด เป็นเวลาต่อเนื่องกันเกินว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้เลย และกรรมการของจำเลยที่ ๑ ชุดหลัง ๆ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้แทนจำเลย โจทก์ก็ยินยอมตกลงจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาที่โจทก์ฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ ความจริงจำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้โจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์และค้างชำระดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันฟ้องจริง หนี้ของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยที่ ๒,๓,๔ เป็นผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้จำเลยที่ ๑ ภายในกำหนด ๑ เดือน เงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกมาในระยะ ๑ เดือน จำเลยที่ ๑ ก็ได้ชำระแล้ว จำเลยที่ ๒,๓,๔ จึงหมดความรับผิดชอบ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามฟ้อง ส่วนคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒,๓,๔ ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในพ.ศ. ๒๔๙๘ จำเลยที่ ๒,๓,๔ เป็นกรรมการของสมาคมจำเลยที่ ๑ และได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ เดิมเมื่อจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้มีบัญชีเงินฝากอยู่กับโจทก์ ตามข้อบังคับของสมาคมจำเลยบัญญัติเกี่ยวกับการเงินไว้ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินเพื่อกิจการของสมาคมได้ และเหรัญญิกจะจ่ายเงินของสมาคมทุกครั้งจะต้องได้รับอนุมัติจากนายกสมาคมก่อน การลงชื่อในเช็คเพื่อจ่ายเงินของสมาคม ให้นายก เหรัญญิกและเลขาธิการลงชื่อร่วมกันโดยประทับตราของสมาคมไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยที่ ๒,๓,๔ ได้เข้าทำสัญญาแทนจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์
สำหรับหนี้ขาดอายุความหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ยอมรับว่า เป็นหนี้โจทก์จริงตามหนังสือที่โจทก์ทวงถาม และขอปิดบัญชีเพียงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๔ หนี้ซึ่งจำเลยที่ ๑ค้างชำระโจทก์อยู่ จำเลยที่ ๑ ก็จะขอผ่อนชำระจนกว่าจะหมดสิ้น จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ตามหนังสือลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๐๔ ที่จำเลยที่ ๑ ยืนยันกับโจทก์ อายุความฟ้องร้องจึงสะดุดหยุดลง คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน