คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ดูแลนักเรียนไทยประจำสถานฑูตในต่างประเทศ มีหน้าที่ควบคุมฝ่ายการเงินและการบัญชีเสมือนเป็นหัวหน้ากองคลังเมื่อทางราชการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบเงิน แล้วแจ้งให้จำเลยทราบว่าจำเลยเบิกจ่ายใช้เงินไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการ จำเลยได้แสดงหลักฐานการเบิกจ่ายใช้เงินดังกล่าวให้ทางราชการตรวจสอบ โดยอ้างว่าได้เบิกจ่ายใช้ไปโดยสุจริตและชอบด้วยระเบียบแล้ว แม้เงินนั้นจำเลยจะได้ถอนจากธนาคารไปในระหว่าง พ.ศ.2501 ถึง 2505แต่ใน พ.ศ.2506 จำเลยก็ได้นำเงินเข้าฝากธนาคารบางส่วนจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เอาเงินของทางราชการไปเป็นส่วนตัวตั้งแต่วันที่ถอนเงิน เพราะจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาเงินดังกล่าวแทนทางราชการอยู่ จะถือว่าจำเลยได้กระทำละเมิดนับแต่วันที่จำเลยได้ถอนเงินจากธนาคารหาได้ไม่ และเมื่อทางราชการได้ตรวจสอบใบสำคัญในการใช้จ่ายเงินที่จำเลยเบิกมาจากธนาคารแล้วเห็นว่ามีบางรายการจำเลยใช้จ่ายไปโดยไม่ชอบได้สั่งให้จำเลยใช้เงินคืน จึงต้องถือว่าเงินที่สั่งให้ใช้คืนนั้นเป็นเงินของทางราชการที่ยังอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ จำเลยจะต้องคืนตามที่ทางราชการกำหนดให้เมื่อนับแต่นั้นถึงวันฟ้องยังไม่พ้น 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหาย จะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการสังกัดสำนักงานโจทก์ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ดูแลนักเรียนไทยประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตันสหรัฐอเมริกา และให้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายการเงินและการบัญชีของสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาด้วยเมื่อระหว่างเดือนพฤษภาคม๒๕๐๑ ถึงกรกฎาคม ๒๕๐๕ จำเลยได้ถอนเงินของโจทก์ออกจากธนาคารโดยไม่มีความจำเป็นและไม่ลงบัญชีรวม ๕๖,๓๓๐.๖๔ ดอลล่าร์สหรัฐเบียดบังเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ต่อมาพ.ศ. ๒๕๐๖ จำเลยทราบว่าโจทก์จะไปตรวจราชการเกี่ยวแก่การเงินจำเลยจึงได้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ๒ คราว จำนวน ๑๒,๙๔๒.๖๔ดอลล่าร์สหรัฐ และ ๘,๘๕๗.๕๙ ดอลล่าร์สหรัฐ ซื้อดร๊าฟท์ส่งมายังโจทก์๘,๗๖๘.๐๗ ดอลล่าร์สหรัฐ และส่งใช้เป็นใบสำคัญ ๑๓,๔๔๑.๘๓ ดอลล่าร์สหรัฐเมื่อโจทก์ตัดยอดตรวจสอบบัญชีเพียงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๖ แล้ว จำเลยได้นำเงิน ๑๑,๘๗๒ ดอลล่าร์สหรัฐเข้าบัญชีเงินฝากอีก สำหรับใบสำคัญที่จำเลยส่งใช้นั้นปรากฏว่าใช้ไม่ได้ ๑๒,๔๒๗.๖๕ ดอลล่าร์สหรัฐ จำเลยต้องคืนให้โจทก์นายกรัฐมนตรีได้ทราบผลการสอบสวนให้จำเลยรับผิดในทางแพ่งเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๑ ขอให้พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๒,๔๒๗.๖๕ ดอลล่าร์สหรัฐหรือเท่ากับเงิน ๒๖๐,๙๘๐.๖๕ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๒๖๐,๙๘๐.๖๕ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์เพียงข้อเดียวว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๘ ห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเมื่อพ้น ๑๐ ปีนับแต่วันทำละเมิดจำเลยถอนเงินจากธนาคารเมื่อใด ต้องถือว่าทำละเมิดในวันนั้น ปรากฏว่าจำเลยถอนเงิน ๑,๕๖๔.๖๔ ดอลล่าร์สหรัฐจากธนาคารถึงวันฟ้องเกิน ๑๐ ปีเงินจำนวนนี้ขาดอายุความ ส่วนนอกนั้นไม่ขาดอายุความพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้เงิน ๒๒๘,๑๒๓.๒๑ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมจำเลยเป็นข้าราชการชั้นเอก สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๙๙ จำเลยได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ดูแลนักเรียนไทยและทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายการเงินและการบัญชีประจำสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา ณ กรุงวอชิงตันโดยจำเลยมีหน้าที่ควบคุมฝ่ายการเงินและการบัญชีเสมือนเป็นหัวหน้ากองคลังแต่จำเลยไม่มีหน้าที่เบิกเงินจ่ายเงินเอง จำเลยเบิกเงิน จ่ายเงิน จะต้องได้รับอนุญาตจากที่ปรึกษาการศึกษาประจำสถานเอกอัครราชทูตเสียก่อนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับบัญชีของสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในต่างประเทศ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้พันเอกจินดาณ สงขลา รองเลขาธิการ ก.พ. นายทวีเกียรติ กฤษณามระ นักบัญชีเอกกรมบัญชีกลาง นายวิโรจน์ ดุจจานุทัศน์ ผู้ช่วยกรรมการตรวจเงินสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นายเธียร ธรรมาธิปติ์ วิทยากรสำนักงาน ก.พ.ไปแนะนำการทำบัญชีตรวจตัดยอดเพื่อตั้งบัญชีระบบใหม่ในสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในต่างประเทศทุกแห่ง สำหรับในสหรัฐอเมริกา คณะข้าราชการดังกล่าวได้เดินทางไปถึงเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ได้ทำการตรวจบัญชีตัดยอดตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๖ ย้อนหลัง ๑๐ ปี ปรากฏว่าระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๕ จำเลยได้ถอนเงินของสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยซึ่งเป็นเงินของรัฐบาลออกมาจากธนาคารต่าง ๆ โดยไม่ลงบัญชีเป็นเงิน๕๖,๓๓๐.๖๔ ดอลล่าร์ แล้วจำเลยได้นำเงินฝากคืนเข้าธนาคารเมื่อวันที่ ๙มกราคม ๒๕๐๖ วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๐๖ และวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๖รวมเป็นเงิน ๔๒,๔๔๑.๓๐ ดอลล่าร์ กับได้ส่งใบสำคัญในการเบิกจ่ายใช้เงินไปเป็นเงิน ๑๓,๔๔๑.๘๓ ดอลล่าร์รวมเป็นเงิน ๕๕,๘๘๓.๑๓ ดอลล่าร์เงินคงขาดบัญชีไปอีก ๔๔๗.๕๑ ดอลล่าร์ สำหรับเงินที่ขาดบัญชี๔๔๗.๕๑ ดอลล่าร์ จำเลยได้ถูกฟ้องเรียกเงินคืนเป็นอีกคดีหนึ่ง แต่สำหรับใบสำคัญที่จำเลยจ่ายเงิน ๑๓,๔๔๑.๘๓ ดอลล่าร์นั้น ต่อมาประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๐๗ถึงเลขาธิการ ก.พ.ว่า ใบสำคัญหมาย จ.๑ ถึง จ.๑๙ เป็นการใช้จ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบราชการ เห็นควรสั่งให้จำเลยนำเงินส่งคืนทางราชการส่วนใบสำคัญเอกสารหมาย จ.๒๐ และ จ.๒๑ ถ้าไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวแก่ทางราชการ ก็ให้จำเลยนำเงินส่งคืนทางราชการ หากได้ผลประการใดขอให้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทราบ เงินตามใบสำคัญตามเอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๒๑ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒,๔๒๗.๖๕ ดอลล่าร์ วันที่ ๑๖มิถุนายน ๒๕๐๘ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชอบใช้เงินที่จำเลยได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินในทางแพ่ง วันที่ ๒๘กันยายน ๒๕๑๐ คณะกรรมการสอบสวนได้เสนอผลการสอบสวนต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีว่าสมควรเรียกร้องให้จำเลยใช้เงิน ๑๒,๔๒๗.๖๕ ดอลล่าร์วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้เสนอความเห็นควรลงโทษปลดจำเลยออกจากราชการ และให้จำเลยชดใช้เงิน ๑๒,๔๒๗.๖๕ ดอลล่าร์คืนแก่ทางราชการ นายกรัฐมนตรีได้ทราบเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๑ ได้สั่งให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการตามที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแล้วนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๑๑ ปลดจำเลยออกจากราชการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒
ปัญหามีว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยหน้าที่ราชการของจำเลยนั้น จำเลยมีหน้าที่ควบคุมฝ่ายการเงินและการบัญชีเงินดังกล่าวเสมือนเป็นหัวหน้ากองคลังแต่การที่จำเลยถอนเงินดังกล่าวที่ฝากธนาคารไว้มานั้น มีข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ปฏิบัติไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการโดยไม่ได้รับอนุมัติจากที่ปรึกษาการศึกษาประจำสถานเอกอัครราชทูตตามระเบียบแบบแผนของทางราชการที่วางไว้ แม้จำเลยปฏิบัติงานไม่ชอบด้วยระเบียบแบบแผนของทางราชการในการเบิกเงินมาใช้จ่าย แต่เงินดังกล่าวนั้นโดยหน้าที่ราชการของจำเลยจำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาไว้แทนราชการ และทางราชการจะให้จำเลยเบิกจ่ายใช้เงินนี้ได้ก็ต้องใช้จ่ายให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการที่วางไว้เมื่อทางราชการได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบเงินจำนวนนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วได้แจ้งผลการตรวจสอบให้ทางราชการทราบทางราชการได้แจ้งผลที่ได้จากการตรวจสอบให้จำเลยทราบว่าจำเลยปฏิบัติในการเบิกจ่ายใช้เงินนั้นไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการ จำเลยได้แสดงหลักฐานการเบิกจ่ายใช้เงินดังกล่าวให้ทางราชการตรวจสอบ โดยจำเลยอ้างว่าจำเลยได้เบิกจ่ายใช้เงินดังกล่าวไปโดยสุจริตและชอบด้วยระเบียบราชการในหน้าที่ของจำเลยจำเลยไม่ต้องรับผิดที่จะต้องชดใช้เงินนั้นแก่ทางราชการ จำเลยอ้างเหตุในการปฏิบัติเกี่ยวแก่การเงินเช่นนี้ ทั้งเงินดังกล่าวนั้นอยู่ในหน้าที่ของจำเลยต้องดูแลรักษาไว้แทนทางราชการแม้ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๕ จำเลยจะถอนเงินดังกล่าวออกจากธนาคาร แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จำเลยก็นำเงินเข้าฝากกับธนาคารบางส่วน การปฏิบัติของจำเลยเช่นนี้แม้จะไม่ชอบด้วยระเบียบราชการ ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เอาเงินของทางการนั้นมาเป็นส่วนตัวของจำเลยนับแต่วันที่จำเลยถอนเงินนั้นมาจากธนาคารเพราะจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาเงินดังกล่าวแทนทางราชการอยู่ เมื่อทางราชการได้ตรวจสอบหลักฐานที่จำเลยอ้างเพื่อหาข้อเท็จจริง ปรากฏว่าจำเลยเบิกจ่ายใช้เงินของราชการไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการที่วางไว้ เหตุนี้จะถือเอาข้อเท็จจริงดังกล่าวเกี่ยวแก่จำนวนเงินที่จำเลยดูแลรักษาแทนทางราชการไว้นั้นว่าจำเลยเบิกเงินออกจากธนาคารเมื่อวันใดต้องถือว่าจำเลยได้กระทำละเมิดเกี่ยวแก่เงินของทางราชการดังกล่าวนั้นนับแต่วันที่จำเลยได้ถอนเงินนั้นมาจากธนาคารจึงไม่เป็นเหตุอันจะรับฟังได้ และเมื่อทางราชการได้ตรวจสอบใบสำคัญในการใช้จ่ายเงินที่จำเลยเบิกมาจากธนาคารมาใช้จ่าย เห็นว่ามีบางรายการจำเลยใช้จ่ายไปโดยไม่ชอบด้วยระเบียบราชการที่วางไว้ ซึ่งทางราชการถือว่าเป็นการใช้เงินไปที่ไม่ชอบ สั่งให้จำเลยใช้เงินคืนแก่ทางราชการในรายเกี่ยวแก่กรณีที่จำเลยใช้เงินโดยไม่ชอบ จึงต้องถือว่าเงินที่ทางราชการให้จำเลยใช้คืนแก่ทางราชการนั้นเป็นเงินของทางราชการที่ยังอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ราชการของจำเลย จำเลยจะต้องคืนแก่ทางราชการตามสั่งนับแต่วันที่ทางราชการกำหนดให้จำเลยคืนเงินมาถึงวันฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้น ๑๐ ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหาย จะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายในกำหนด๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ ดังข้อฎีกาของจำเลยมาใช้บังคับไม่ได้
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share