แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองพ.ศ.2527 มาตรา 5 การกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืน จะต้องพิจารณาจากผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประการหนึ่ง สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประการหนึ่งและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนอีกประการหนึ่ง รวม 3 ประการด้วยกันจำเลยกำหนดราคาที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนจากราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพียงประการเดียว ราคาดังกล่าวประเมินโดยเอาตำบล ถนน และทะเล เป็นหลัก ซึ่งเป็นการประเมินอย่างกว้าง ๆ ย่อมไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป ที่พระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 5 บัญญัติให้คำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ไว้ซ้ำอีก มีผลเท่ากับบังคับให้มีการพิจารณาสภาพและที่ตั้งของที่ดินที่ถูกเวนคืนเป็นแปลง ๆ ไป ทั้งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 ที่บัญญัติถึงวัตถุประสงค์ของจำเลยเห็นได้อยู่ในตัวว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรา 6(3) จำเลยมีสิทธิให้เช่าซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมของจำเลยได้ นอกจากนี้มาตรา 32 และมาตรา 35 บัญญัติให้ประธานกรรมการ พนักงานและลูกจ้างของจำเลยอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวข้างต้นจึงได้บัญญัติให้การกำหนดราคาที่ดินต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการเวนคืนด้วย มิฉะนั้นจะเป็นช่องทางให้จำเลยแสวงกำไรจากการกดราคาที่ดินที่ถูกเวนคืนเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของจำเลย หรือเพื่อผลกำไรจะได้กลับมาสำหรับจ่ายเป็นโบนัสทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อสังคม การที่จำเลยนำเอาราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประการเดียวมากำหนดเป็นราคาที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนจึงไม่ชอบ และที่ศาลอุทธรณ์กำหนดราคาที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนไร่ละ 50,000 บาทโดยพิจารณาถึงรายได้ที่จำเลยได้รับจากการให้เช่าที่ดินของโจทก์ที่ได้ไปจากการเวนคืนไร่ละ 48,000 บาท ต่อปี จึงชอบแล้ว เพราะรายได้จากทรัพย์สินกับราคาของทรัพย์สินนั้นย่อมจะต้องสัมพันธ์กันพระราชบัญญัติ ญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527มาตรา 9 วรรคสี่ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ได้มีการจ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปีคงที่จนกว่าจะชำระเสร็จจึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3 แปลงโฉนดเลขที่ 16662, 17115 และ 17117 ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง ที่ดินทั้งสามแปลงถูกเวนคืนคิดเป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น27 ไร่ 3 งาน 10.3 ตารางวา โดยจำเลยกำหนดค่าทดแทนให้เพียง434,320 บาท อันเป็นการกำหนดค่าทดแทนที่ต่ำเกินควร หากจำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมตามที่พระราชบัญญัติ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527บัญญัติไว้จะทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากที่ดินที่ถูกเวนคืนทั้งสิ้นคิดเป็นจำนวนเงิน 1,666,545 บาท การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ขาดสิทธิที่จะได้รับเงินทดแทนเป็นจำนวน 1,232,225 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารคิดตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2527 อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนตามที่จำเลยกำหนดให้ ดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้องได้เป็นจำนวน 292,653.44 บาท รวมเป็นจำนวนเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับถึงวันฟ้อง 1,524,878.44 บาท โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้วขอศาลบังคับจำเลยให้ใช้เงินจำนวน 1,524,878.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี จากจำนวนเงิน 1,232,225 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนของจำเลยอาศัยหลักเกณฑ์ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม พ.ศ. 2525-2527 ซึ่งเป็นราคาที่กรมที่ดินกำหนด และเป็นราคาที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่กิ่งอำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยองและอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพิ่มขึ้นอีก ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเอาแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอัตราดอกเบี้ยนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าทดแทนเพิ่มให้แก่โจทก์จำนวน 954,467.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ9.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ที่ดินตามฟ้องทั้ง 3 แปลงของโจทก์ถูกเวนคืนเป็นของจำเลย และจำเลยกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์จำนวน 434,320 บาท โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม พ.ศ. 2525-2527 เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าโจทก์ควรได้รับค่าทดแทนจากจำเลยเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด ตามพระราชบัญญัติ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527มาตรา 5 บัญญัติว่า “ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่กิ่งอำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง และอำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตลอดจนสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม” จะเห็นได้ว่ากฎหมายดังกล่าวเน้นที่จะให้เกิดความเป็นธรรมเป็นสำคัญ ดังนั้นเมื่อจำเลยได้รับทรัพย์สินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้เงินทดแทนให้โจทก์ตามราคาของทรัพย์สินนั้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกำหนดราคาจะต้องพิจารณาจากผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประการหนึ่ง สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประการหนึ่ง และวัตถุประสงค์ของการเวนคืนอีกประการหนึ่ง รวม 3 ประการด้วยกัน ตามรายงานการประชุมของจำเลยเอกสารหมาย ล.14 หน้า 9 ถึงหน้า 13 ได้กำหนดราคาที่ดินที่ถูกเวนคืนจากราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ในปี2522-2524 และในปี 2525-2527 ประการเดียว ตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอำเภอเมืองระยอง เอกสารหมาย จ.18ก็ประเมินราคาที่ดินโดยเอาตำบล ถนนและทะเลเป็นหลัก ซึ่งเป็นการประเมินอย่างกว้าง ๆ ราคาที่ดินที่ประเมินไว้ ย่อมไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป ที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองพ.ศ. 2527 มาตรา 5 บัญญัติให้คำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ซ้ำไว้อีก มีผลเท่ากับบังคับให้มีการพิจารณาสภาพและที่ตั้งของที่ดินที่ถูกเวนคืนเป็นแปลง ๆ ไป ทั้งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 บัญญัติถึงวัตถุประสงค์ของจำเลยนั้น เห็นได้อยู่ในตัวว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรา 6(3) จำเลยมีสิทธิให้เช่าให้เช่าซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมของจำเลยได้นอกจากนี้มาตรา 32 และมาตรา 35 ก็บัญญัติให้ประธานกรรมการพนักงานและลูกจ้างของจำเลยอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดพระราชบัญญัติ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวข้างต้นจึงได้บัญญัติให้การกำหนดราคาที่ดินต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการเวนคืนด้วยมิฉะนั้นจะเป็นช่องทางให้จำเลยแสวงหากำไรจากการกดราคาที่ดินที่ถูกเวนคืนเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของจำเลย หรือเพื่อผลกำไรจะได้กลับมาสำหรับจ่ายเป็นโบนัส ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อสังคมดังนั้นการที่จำเลยนำเอาราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประการเดียวมากำหนดเป็นราคาที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนจึงไม่ชอบ และที่ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดราคาที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนไร่ละ 50,000 บาท โดยพิจารณาถึงรายได้ที่จำเลยได้รับจากการให้เช่าที่ดินของโจทก์ที่ได้ไปจากการเวนคืนไร่ละ 48,000 บาท ต่อปีจึงชอบแล้วเพราะรายได้จากทรัพย์สินกับราคาของทรัพย์สินนั้นย่อมจะต้องสัมพันธ์กัน
ส่วนดอกเบี้ยของเงินค่าทดแทนที่ศาลวินิจฉัยให้จำเลยชำระเพิ่มขึ้นนั้น พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองพ.ศ. 2527 มาตรา 9 วรรค 4 บัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ได้มีการจ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปีคงที่นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำของธนาคารในจำนวนเงินค่าทดแทนที่จำเลยต้องชำระเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่4 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 292,653.44 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์