คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประกาศของกระทรวงการคลังเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบการที่โจทก์ไม่ระบุอ้างประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวเป็นพยานในบัญชีระบุพยานจึงเป็นการไม่ปฎิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ประกาศดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา86วรรคแรกเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติกฎเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการอ้างพยานหลักฐานไว้ชัดแจ้งแล้วจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องขวนขวายและปฎิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และขั้นตอนดังกล่าวทั้งพยานที่ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราใดก็มิใช่พยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพราะมิใช่เป็นข้อที่จะทำให้โจทก์แพ้หรือชนะคดีที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟังประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ 1,508,496.63บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 976,606.82บาท และพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 299,780.81บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้ไถ่ถอนทรัพย์สินจำนองตามฟ้องด้วยถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้และไม่ไถ่ถอนทรัพย์สินจำนองยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 31306 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและให้ยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 โฉนดเลขที่ 6726 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบหากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์ จำนวน 685,453.22บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่วันที่ 30 เมษายน 2536 จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2536 และดอกเบี้ยไม่ทบต้นในอัตราเดียวกัน นับแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์จำนวน 292,404.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้ยึดที่ดินโฉนดที่ดินโฉนดเลขที่ 6726 และ 31306 ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลาจังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินสุทธิไม่พอชำระ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า แม้โจทก์มิได้อ้างประกาศกระทรวงการคลังเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไว้ในบัญชีพยาน แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้ เห็นว่าประกาศ ของกระทรวงการคลังเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบการที่โจทก์ไม่ระบุอ้างเอกสารประกาศกระทรวงการคลังเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเป็นพยานในบัญชีระบุพยาน จึงเป็นการไม่ปฎิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88ประกาศดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคแรก และเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติกฎเกณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการอ้างพยานหลักฐานไว้ชัดแจ้งแล้วเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องขวนขวายและปฎิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และขั้นตอนดังกล่าว ทั้งพยานที่ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราใดก็มิใช่พยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพราะมิใช่เป็นข้อที่จะทำให้โจทก์แพ้หรือชนะคดี ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟังประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นโจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์ได้นำสืบข้อเท็จจริงให้รับฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามฟ้องแม้โจทก์จะมิได้ระบุประกาศกระทรวงการคลังเป็นพยาน แต่กฎหมายมิได้บังคับให้ศาลต้องรับฟังแต่เฉพาะพยานเอกสาร ศาลสามารถฟังประกอบสัญญากู้ยืมและพยานบุคคลของโจทก์ได้ และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 152 (6)ปรากฎว่าชั้นอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์แต่เพียงว่าศาลมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และ 88 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share