แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การนำสืบว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือสูญหายไปนั้นโจทก์นำสืบด้วยพยานบุคคลได้เพราะเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงส่วนการนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่สูญหายไปต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนเมื่อศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบได้ตลอดทั้งเรื่องถือว่าได้อนุญาตโดยปริยายการสืบพยานของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 5 มีนาคม 2532 จำเลย กู้เงิน โจทก์จำนวน 40,000 บาท กำหนด ชำระ คืน ภายใน 3 เดือน จำเลย ได้ ทำสัญญากู้ยืม ให้ โจทก์ ไว้ เป็น หลักฐาน แต่ หลักฐาน แห่ง การ กู้ยืมได้ สูญหาย ไป โจทก์ ได้ แจ้งความ ต่อ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอ ชุมแพ ไว้ แล้ว จำเลย ได้รับ เงิน ไป ครบถ้วน แล้ว พอ ครบ กำหนด3 เดือน จำเลย ไม่ยอม ชำระ เงิน คืน โจทก์ โจทก์ ทวงถาม แล้ว แต่ จำเลยเพิกเฉย ขอให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน 40,000 บาท ให้ แก่ โจทก์พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 5 มีนาคม2532 จนกว่า จะ ชำระ ให้ โจทก์ เสร็จสิ้น
จำเลย ให้การ ว่า จำเลย ไม่เคย ทำ สัญญากู้ยืม และ รับ เงิน จำนวน40,000 บาท จาก โจทก์ โจทก์ แจ้งความ ต่อ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจ ภูธร อำเภอ ชุมแพ เรื่อง สัญญากู้ ระหว่าง โจทก์ กับ จำเลย หาย ไปเป็น การกระทำ ของ โจทก์ ฝ่ายเดียว ซึ่ง ไม่เป็น ความจริง โจทก์ จึงไม่มี สิทธิ นำ หลักฐาน การ แจ้งความ มา ใช้ เป็น หลักฐาน ฟ้อง เรียกเงิน กู้จาก จำเลย เพราะ มิใช่ สัญญากู้ยืม และ มิใช่ หลักฐาน การ กู้ยืมตาม กฎหมาย เมื่อ ไม่มี การ ทำ สัญญากู้ยืม การ แจ้งความ ก็ ไม่มี ผลบังคับแก่ จำเลย ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระ เงิน 40,000 บาท ให้ โจทก์พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง(25 มิถุนายน 2535) จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ที่ โจทก์ ฎีกา ใน ปัญหาข้อกฎหมาย ว่า จำเลยกู้เงิน โจทก์ โดย มี หลักฐาน แห่ง การ กู้ยืม เป็น หนังสือ แต่ หลักฐาน การกู้ยืม ดังกล่าว ได้ สูญหาย ไป โจทก์ จึง นำสืบ พยานบุคคล ว่า หลักฐาน แห่ง การกู้ยืม ของ โจทก์ ได้ สูญหาย ไป และ นำสืบ ว่า จำเลย กู้เงิน โจทก์ ตาม หลักฐานแห่ง การ กู้ยืม ที่ สูญหาย ไป ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย ประกอบ มาตรา 93(2) นั้น เห็นว่า การ นำพยานบุคคล เข้าสืบ ใน ประเด็น แรก เป็น การ นำสืบ ว่า หลักฐาน แห่ง การกู้ยืม ของ โจทก์ ได้ สูญหาย ไป เป็น กรณี ที่ ไม่มี กฎหมาย บังคับ ให้ ต้องมี พยานเอกสาร มา แสดง โจทก์ จึง นำสืบ พยานบุคคล ใน ข้อ นี้ ได้ส่วน การ นำพยาน บุคคล เข้าสืบ ใน ประเด็น หลัง เป็น การ นำสืบ ว่าจำเลย กู้เงิน โจทก์ ตาม หลักฐาน แห่ง การ กู้ยืม ที่ สูญหาย ไป กรณี หลังต้อง ได้รับ อนุญาต จาก ศาล ก่อน จึง จะ นำสืบ ได้ คดี นี้ ศาลชั้นต้น ยอม ให้โจทก์ นำพยาน บุคคล เข้าสืบ ได้ ตลอด ทั้ง เรื่อง ถือได้ว่า ศาลชั้นต้น ได้อนุญาต โดย ปริยาย การ สืบพยาน ของ โจทก์ จึง ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) ศาล รับฟังคำพยาน บุคคล ของ โจทก์ ได้ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 วินิจฉัย ใน ปัญหา ข้อกฎหมาย ว่า โจทก์ ไม่มี หลักฐาน แห่ง การ กู้ยืม มา แสดง จึง ไม่อาจนำพยาน บุคคล เข้าสืบ และ ศาล ไม่สามารถ รับฟัง พยานบุคคล แทน พยานเอกสารได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ นั้น ไม่ต้อง ด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ โจทก์ข้อ นี้ ฟังขึ้น และ เนื่องจาก ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติ ตาม คำพิพากษา ของศาลชั้นต้น แล้ว ว่า จำเลย กู้เงิน โจทก์ จำนวน 40,000 บาท โดย มีหลักฐาน แห่ง การ กู้ยืม เป็น หนังสือ แต่ หลักฐาน แห่ง การ กู้ยืม ดังกล่าวสูญหาย ไป จำเลย จึง ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ ตาม คำพิพากษา ของ ศาลชั้นต้น ”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ของ ศาลชั้นต้น