คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดินกัน ตอนหลังว่าแม้การกู้จะไม่เป็นโมฆะสัญญากู้ก็มีว่า เมื่อจำเลยไม่ใช้เงินให้ จะขอมอบที่ดินให้โจทก์และภรรยาเป็นกรรมสิทธิ์และจำเลยก็ได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้ภรรยาโจทก์เข้าครอบครองแล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงเป็นอันระงับไปนั้นการที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้นี้จึงไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร แต่เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุที่จะทำสัญญากู้ ซึ่งอาจแสดงว่าสัญญากู้สมบูรณ์หรือไม่จึงชอบที่จะนำสืบได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือกู้เงินโจทก์กับนางกลินภรรยาไป 1,700 บาท แล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับ

จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์นางกลินภรรยาโจทก์มาขอซื้อที่ดินปลูกห้องแถวของจำเลย 1 แปลง จำเลยตกลงขายเป็นเงิน 1,700 บาท นางกลินรับซื้อ แต่จำเลยไม่สามารถทำหนังสือซื้อขายให้นางกลิน นางกลินจึงให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้เงินให้ไว้ เพื่อไม่ให้จำเลยเอาที่ดินคืน มีเจตนาจะซื้อขายที่ดินเท่านั้น ทำสัญญากู้แล้วจำเลยได้ส่งมอบที่ดินให้นางกลิน ๆ ได้เข้าครอบครองไว้แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมเป็นอันระงับ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 1,700 บาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ ไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารดังโจทก์อ้าง แต่เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุที่จะทำสัญญากู้ ซึ่งอาจแสดงว่าสัญญากู้นั้นสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งชอบที่จะนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 และแสดงว่าเมื่อทำสัญญากู้เงินกันแล้ว จำเลยก็ได้ส่งมอบที่ดินให้นางกลินครอบครอง ตีราคาที่ดินใช้หนี้สมตามมูลเหตุที่จะทำสัญญากู้กันนั้นเอง ถ้าคดีฟังได้ตามข้อต่อสู้โดยเฉพาะข้อที่ว่าผู้ให้กู้ยอมรับเอาที่ดินเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมเพียงใดหนี้ก็ย่อมระงับไปเพียงนั้น

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share