คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุเพียง 16 ปี ไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหายแล้วรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหาย เมื่อหาเงินไม่ได้ จำเลยก็ให้ผู้เสียหายกลับบ้าน หลังจากนั้นเพียงคืนเดียวจำเลยก็ได้หญิงอื่นเป็นภริยา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะพาเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจังแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่ 1927/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้พรากนางสาวถวัลย์อายุ ๑๖ ปีไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดา โดยนางสาวถวัลย์ไม่เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้ร่วมประเวณีกับนางสาวถวัลย์หลายครั้ง อันเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ ข้อนำสืบของจำเลยให้ความรู้แก่ศาล ลดโทษตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้เสียหายหนีตามไปอยู่กับจำเลยฉันสามีภริยา แต่ต่อมาฝ่ายจำเลยไม่อาจหาเงินไปขอขมาบิดาผู้เสียหายได้ จึงเลิกร้างกัน คดีไม่พอฟังลงโทษจำเลยพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยพาผู้เสียหายไปอยู่บ้านจำเลย แล้วผู้เสียหายได้ตกเป็นภริยาของจำเลยตั้งแต่คืนแรกที่ไปถึง ต่อมาอีก ๒ คืน บิดามารดาจำเลยมาติดต่อส่งข่าวให้บิดาผู้เสียหายทราบ บิดาผู้เสียหายเรียกสินสอด ๔,๐๐๐ บาท ฝ่ายจำเลยหาสินสอดให้ไม่ได้ตามตกลง ผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านตามเดิม หลังจากอยู่กินกับจำเลยได้ ๒ เดือนเศษ จากพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายอยู่กับจำเลยและช่วยบิดามารดาจำเลยทำงานบ้าง ไม่ได้หลบหนีกลับบ้าน ทั้งที่บ้านอยู่ห่างกันเพียง ๓ กิโลเมตร คดีมีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้เสียหายรักใครกับจำเลยมาก่อน และลอบหนีบิดามาอยู่กินกับจำเลยโดยสมัครใจ เหตุที่ผู้เสียหายกลับไปอยู่บ้านตามเดิมก็โดยบิดาให้เลิกกับจำเลย เพราะจำเลยไม่อาจหาสินสอดให้ได้ แต่เมื่อผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุ ๑๖ ปี การที่จำเลยพาตัวผู้เสียหายไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหาย และเมื่อรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหายแล้วก็ให้ผู้เสียหายกลับบ้าน ทั้งต่อมาหลังจากนั้นเพียงคืนเดียวจำเลยก็ได้นางจิตรเป็นภริยา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะพาเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจังแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๘ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา ๓๑๙ ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๑๙ ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ จำคุกจำเลย ๖ เดือน

Share