คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5548/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อรถยนต์ของโจทก์ถูกชนได้รับความเสียหายต้องเข้าซ่อมช่วงเวลาที่เสียไประหว่างซ่อมถือได้ว่าโจทก์ขาดประโยชน์แล้วตั้งแต่บัดนั้น ส่วนที่โจทก์เช่ารถยนต์ของบุคคลอื่นมาวิ่งรับส่งคนโดยสารแทนรถยนต์ของโจทก์และต้องเสียค่าเช่านั้น เป็นเพียงเพื่อบรรเทาค่าขาดประโยชน์ที่ต้องสูญเสียไปลงบ้างเท่านั้น จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นว่า บ. เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุหรือไม่ แต่กำหนดประเด็นว่า ส. เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของ บ. หรือไม่เท่านั้น ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า บ. ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุจึงเป็นฎีกานอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 791,898.75 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้น 736,650 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การมีใจความทำนองเดียวกันว่า นายโสมนัสไม่ใช่ลูกจ้างของนายบุญเยี่ยม นายโสมนัสและนายบุญเยี่ยมไม่มีมรดก จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหายทั้งหมดไม่เกิน 10,000บาท ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 201,487 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 101,487 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายโสมนัสขับรถยนต์ของนายบุญเยี่ยมด้วยความประมาทชนรถยนต์โจทก์ แต่นายโสมนัสไม่ใช่ลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของนายบุญเยี่ยม จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายบุญเยี่ยมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และวินิจฉัยว่า เมื่อรถยนต์ของโจทก์ถูกชนได้รับความเสียหายต้องเข้าซ่อม ช่วงเวลาที่เสียไประหว่างซ่อม ถือได้ว่าโจทก์ขาดประโยชน์แล้วตั้งแต่บัดนั้นส่วนที่โจทก์เช่ารถยนต์ของบุคคลอื่นมาวิ่งรับส่งคนโดยสารแทนรถยนต์ของโจทก์ต่อไป และต้องเสียค่าเช่าไปนั้น เป็นเพียงเพื่อบรรเทาค่าขาดประโยชน์ที่ต้องสูญเสียไปลงบ้างเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท ทั้งที่โจทก์ฟ้องเรียกมาถึง 369,500 บาท จึงเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลย และในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 17 มกราคม 2528 ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นว่านายบุญเยี่ยมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุหรือไม่แต่กำหนดประเด็นว่า นายโสมนัสเป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของนายบุญเยี่ยมหรือไม่เท่านั้น ดังนี้ ที่โจทก์ฎีกาว่านายบุญเยี่ยมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ที่นายโสมนัสขับในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของนายบุญเยี่ยมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย 201,487 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่12 มิถุนายน 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share