คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้สั่งให้พี่ชายโจทก์แบ่งที่ดินของมารดาโจทก์ซึ่งพี่ชายโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแทนให้แก่โจทก์และพี่น้องอีก 3 คน พี่ชายโจทก์ได้แบ่งที่ดินให้พี่น้อง 3 คนแล้ว แต่ยังไม่ได้แบ่งให้โจทก์ พี่ชายโจทก์ก็ถึงแก่กรรมไปก่อน ดังนี้ เมื่อมารดายกที่ดินให้โจทก์ด้วยวาจาไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525,456 ที่ดินยังเป็นของมารดา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินจากจำเลยซึ่งเป็นภรรยาและผู้จัดการมรดกของพี่ชายในฐานะผู้รับให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์ได้เช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4547เมื่อผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว มารดาโจทก์ได้ให้ผู้ขายจดทะเบียนโอนใส่ชื่อนายสมิทธ์ พฤฒิวานิชกุล บุตรชายคนโตเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแทน เพราะมารดาโจทก์มีสามีเป็นคนต่างด้าว มารดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนตุลาคม 2527 ก่อนถึงแก่กรรมได้สั่งให้นายสมิทธ์แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดให้บุตรชาย 3 คน คนละ 100 ตารางวา และแบ่งให้โจทก์ 52ตารางวา นายสมิทธ์ได้จดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดให้บุคคลทั้งสามดังกล่าวแล้ว ยังเหลือแต่โจทก์ที่ยังไม่ได้รับแบ่งเดือนสิงหาคม 2527 นายสมิทธ์ป่วยถึงแก่กรรมโดยกะทันหันก่อนถึงแก่กรรมนายสมิทธ์ได้สั่งจำเลยซึ่งเป็นภริยาแบ่งที่ดินให้โจทก์ จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมิทธ์ตามคำสั่งศาลไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายสมิทธ์ จึงขอบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 4547 ให้โจทก์52 ตารางวา หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า นายสมิทธ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตามฟ้องแต่เพียงผู้เดียวมิได้ถือกรรมสิทธิ์แทนมารดาโจทก์ ก่อนถึงแก่กรรมมารดาโจทก์ไม่เคยสั่งให้นายสมิทธ์แบ่งที่ดินตามโฉนดให้บุตรชาย 3 คน และโจทก์ตามฟ้องที่นายสมิทธ์จดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินให้บุคคลทั้งสามคนละ 100 ตารางวา เพราะบุคคลทั้งสามต้องการหลักทรัพย์ไปค้ำประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคาร ก่อนนายสมิทธ์ถึงแก่กรรมไม่เคยสั่งให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ 52 ตารางวาโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมิทธ์ให้โอนที่ดินให้โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 4547 มีเนท้อที่ทั้งหมด352 ตารางวา นางอารีย์ พฤฒิวานิชกุล มารดาโจทก์และนายสมิทธ์ พฤฬิวานิชกุล สามีจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อจากนางประทุม ราชพินิจจัย เมื่อปี พ.ศ. 2505 นางอารีย์ได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนถึงงวดสุดท้าย จึงให้นายสมิทธ์ทำสัญญาเป็นผู้ซื้อที่ดินและจดทะเบียนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแทนก่อนนางอารีย์ถึงแก่กรรม นางอารีย์ได้สั่งนายสมิทธ์ให้แบ่งโฉนดที่ดินดังกล่าวให้นายสงวน พฤฒิวานิชกุล นายสมบูรณ์พฤฒิวานิชกุล นายสวัสดิ์ พฤฒิวานิชกุล คนละ 100 ตารางวาให้โจทก์ 52 ตารางวา นายสมิทธ์ได้จัดการแบ่งและจดทะเบียนโอนให้นายสงวน นายสมบูรณ์และนายสวัสดิ์ แต่ยังไม่ทันได้โอนให้โจทก์ นายสมิทธ์ถึงแก่กรรม จำเลยได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมิทธ์ตามคำสั่งศาล คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าจะบังคับจำเลยให้จดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามคำฟ้องได้หรือไม่ ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า ก่อนนางอารีย์ถึงแก่กรรม ประมาณเดือนมิถุนายน 2527 นางอารีย์ได้เรียกนายสมิทธ์ไปสั่งว่าให้แบ่งและโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายสงวนนายสมบูรณ์ และ นายสวัสดิ์ พฤฒิวานิชกุล คนละ 100 ตารางวาและให้โจทก์ 52 ตารางวา เห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบ ก็เป็นเรื่องที่นางอารีย์มารดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทจำนวน 52 ตารางวา ให้โจทก์ด้วยวาจา ไม่ปรากฏว่าได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525,456 โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทยังเป็นของนางอารีย์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับให้ รูปคดีมิใช่เรื่องลาภมิควรได้ตามที่โจทก์อ้างในคำฟ้องและฎีกา”
พิพากษายืน

Share