คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่งในโฉนดที่พิพาทโดยได้รับมรดกแล้วครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า 10 ปีแล้ว มารดาจำเลยเคยเป็นความกับโจทก์ แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง และให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ต่อมามารดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทั้งโฉนด ดังนี้ แม้ได้ความว่าโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมในคดีที่โจทก์พิพาทกับมารดาจำเลยเสียภายใน 10 ปีก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดครึ่งหนึ่ง และขอแบ่งแยกที่พิพาท โจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีในคดีก่อน กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้ และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่พิพาทขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่งในโฉนดที่พิพาทโดยได้รับมรดกแล้วครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ด้วยความสงบและ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า ๑๐ ปีแล้ว มารดาจำเลยเคยเป็นความกับโจทก์แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมให้ใส่ชื่อโจทก์เป็น เจ้าของครึ่งหนึ่ง และให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ ต่อมามารดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทั้งโฉนด โจทก์ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ จำเลยกลับเถียงกรรมสิทธิ์ จึงขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินครึ่งหนึ่งให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่โจทก์ฟ้องโดยจดทะเบียนโอนรับมรดกมาจากมารดาจำเลยที่โจทก์อ้างว่าได้ที่พิพาท ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยนั้น โจทก์ชอบที่จะบังคับจากจำเลยหรือทายาทของจำเลยแต่โจทก์ปล่อยให้ล่วงเลยมาถึง ๒๐ ปีเศษ คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ ฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีดังกล่าวเป็นการต้องห้าม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคดีดังกล่าว จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง และไม่ปรากฏว่าโจทก์ละทิ้งการครอบครองที่ดินพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดิน ฯ
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีในคดีดังกล่าวของศาลชั้นต้นภายในสิบปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะขาดอายุความ และเป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวและข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วปัญหาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะโจทก์ไม่ได้ดำเนินการบังคับดังกล่าวของศาลชั้นต้นภายในสิบปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ และฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินครึ่งหนึ่ง และขอให้แบ่งแยกที่พิพาท โจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีแพ่งดังกล่าวมา กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะนำอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ มาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้ และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่พิพาทขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวมา ศาลทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share