แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ล. และ น. สามีภริยากันติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษกับจำเลยที่ 1 โดยใช้โทรศัพท์และ ล. กับ น. ตกลงว่าจ้างให้ ก. กับ จ. ลำเลียงยาเสพติดให้โทษไปจากจังหวัดเชียงรายเพื่อส่งมอบให้ อ. ผู้มารับช่วงลำเลียงต่อที่กรุงเทพมหานคร โดย อ. ไม่เคยรู้จัก ก. กับ จ. มาก่อน แต่จะติดต่อกันทางโทรศัพท์ หลังจาก อ. ได้รับยาเสพติดให้โทษจาก ก. กับ จ. แล้ว ก็จะลำเลียงต่อไปยังอำเภอหาดใหญ่เพื่อส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้ซื้ออีกทอดหนึ่ง ลักษณะการตกลงกันเพื่อให้มีการขายและส่งมอบยาเสพติดให้โทษเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการคบคิดร่วมกัน อันเป็นความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเป็นผู้สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 และข้อเท็จจริงได้ความว่าในที่สุดได้มีการส่งมอบยาเสพติดให้โทษของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 รับไว้ในครอบครองแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานเป็นผู้สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม มาตรา 8 วรรคสอง อีกด้วย แต่การกระทำความผิดทั้งสองข้อหามีเจตนาเดียวกันคือ เจตนาเพียงเพื่อต้องการมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 5, 6, 7, 8, 14 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6, 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำคุกคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ซึ่งมีปริมาณสารบริสุทธิ์เกินกว่ายี่สิบกรัมขึ้นไปไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง เมื่อรวมทุกกระทงความผิดแล้ว คงลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว ริบของกลางทั้งหมด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีประจักษ์พยานคือร้อยตำรวจโทบัณฑิต จ่าสิบตำรวจมานิต และพันตำรวจตรีมนตรี เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรทรงธรรมผู้ร่วมจับกุมนายก๋องกับนายจายพร้อมยาไอซ์ของกลาง นอกจากนี้ยังมีพันตำรวจโทศราวุธ เจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการตำรวจภูธรภาค 6 ผู้เข้าร่วมจับกุมภายหลังและร่วมขยายผลจนนำนายก๋องและนายจายไปจับกุมนางอรพรรณรวมถึงจำเลยทั้งสองได้ด้วย พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนถูกต้องตรงกัน โดยพยานโจทก์ดังกล่าวต่างเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการไปตามหน้าที่และไม่ปรากฏว่าเคยรู้จักหรือมีสาเหตุใดๆ กับจำเลยทั้งสองมาก่อน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง ส่วนความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้ขณะถูกจับกุมทั้งนายจาย นางอรพรรณและจำเลยที่ 1 ต่างก็มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้อยู่ และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบหมายเลขและหลักฐานการใช้โทรศัพท์ที่ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง ปรากฏว่าต่างมีการบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของนายเล่าว่างและนางนางไว้ตรงกัน และมีข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ติดต่อกับนางอรพรรณและนางนางจริงก็ตาม แต่กลับไม่มีรายละเอียดว่าพูดคุยกันอย่างไรบ้าง แต่ก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นการติดต่อตกลงเพื่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษกัน ตามที่นายก๋อง นายจายและนางอรพรรณยืนยันนั่นเอง เพราะมีหลักฐานการโอนเงินของจำเลยที่ 1 ไปที่บัญชีธนาคารที่เปิดไว้ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ด้วย ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 ยืนยันว่ามีธุรกิจอยู่เฉพาะทางภาคใต้และในประเทศมาเลเซียเท่านั้น มิได้มีธุรกิจทางภาคเหนือหรือที่จังหวัดเชียงรายแต่อย่างใด เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวแล้วข้างต้นมีเหตุมีผลสามารถเชื่อมโยงข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องตรงกันไม่มีพิรุธน่าสงสัยแต่อย่างใดสามารถยืนยันให้รับฟังข้อเท็จจริงได้อย่างแน่ชัดว่านายเล่าว่างเป็นสามีของนางนางหรือนางจันทร์หอม ทั้งสองคนติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษกับจำเลยที่ 1 โดยใช้โทรศัพท์ และนายเล่าว่างกับนางนางตกลงว่าจ้างให้นายก๋องกับนายจายลำเลียงยาเสพติดให้โทษไปจากจังหวัดเชียงรายเพื่อส่งมอบให้ผู้มารับช่วงลำเลียงต่อที่กรุงเทพมหานครซึ่งผู้ที่มารับช่วงต่อคือนางอรพรรณ โดยที่นางอรพรรณไม่เคยรู้จักนายก๋องกับนายจายมาก่อน แต่จะติดต่อกันทางโทรศัพท์ซึ่งนางนางเป็นผู้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบ หลังจากนางอรพรรณได้รับยาเสพติดให้โทษจากนายก๋องกับนายจายแล้ว ก็จะลำเลียงต่อไปยังอำเภอหาดใหญ่เพื่อส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้ซื้ออีกทอดหนึ่ง ลักษณะการตกลงกันเพื่อให้มีการขายและส่งมอบยาเสพติดให้โทษกันเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการคบคิดร่วมกัน อันเป็นความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้วการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเป็นผู้สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 และข้อเท็จจริงได้ความว่าในที่สุดได้มีการส่งมอบยาไอซ์ของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 รับไว้ในครอบครองแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานเป็นผู้สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามมาตรา 8 วรรคสองอีกด้วย พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบไม่น่า เชื่อถือ ไม่มีเหตุผล ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่าโจทก์นำสืบประจักษ์พยานผู้จับกุมเพียงปากเดียวคือพันตำรวจโทธนารักษ์ ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพราะไม่อาจซักค้านพยานให้เห็นข้อพิรุธได้นั้น เห็นว่า พันตำรวจโทธนารักษ์ไม่ใช่ผู้ร่วมจับกุมแต่อย่างใด โดยพยานเป็นเพียงพนักงานสอบสวนที่เข้ามาร่วมสอบสวนในภายหลังจากมีการจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงผู้จับกุมซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่โจทก์นำเข้าสืบมีหลายปาก แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จะได้ซักค้านให้เห็นพิรุธใด ๆ ได้ ส่วนสมุดจดหมายเลขโทรศัพท์และข้อมูลการใช้โทรศัพท์ หรือหลักฐานการโอนเงิน ก็ไม่ใช่หลักฐานอย่างเดียวที่นำมารับฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิด แต่เป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่นำมารับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่น เพื่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดเท่านั้น เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์ของกลาง ถูกตรวจพบและยึดเป็นของกลางที่จังหวัดกำแพงเพชร เจ้าพนักงานตำรวจไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร แต่มาทราบภายหลังเมื่อนายก๋องและนายจายให้การรับสารภาพ จนนำยาไอซ์ของกลางไปขยายผลต่อ จึงจับกุมนางอรพรรณได้ และหลังจากนั้นเมื่อนางอรพรรณรับสารภาพจึงขยายผลต่อไปจนจำเลยที่ 1 มารับยาไอซ์ของกลางจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเช่นนี้ ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากต้องฟังว่ายาไอซ์ที่นายก๋องและนายจายขนมาจนถูกจับกุมกับที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากนางนางเป็นจำนวนเดียวกันนั่นเอง แม้ว่าขณะนำยาไอซ์ของกลางเพียงบางส่วนจากจังหวัดกำแพงเพชรไปจนจับนางอรพรรณและจำเลยที่ 1 ได้ก็ตาม แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก็ยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาสั่งซื้อยาไอซ์ทั้งหมดนั่นเอง ส่วนสถานที่ส่งมอบยาไอซ์ที่สถานีขนส่งซึ่งมีผู้คนมากนั้นก็ไม่ใช่ข้อพิรุธ เพราะยาไอซ์ของกลางถูกซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ามิดชิด ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยย่อมไม่มีโอกาสที่จะทราบได้ ขณะรับกระเป๋าจากนางอรพรรณ จำเลยที่ 1 จึงต้องเปิดดูก่อนตามที่พยานโจทก์เบิกความยืนยันนั่นเอง ส่วนฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ว่า พยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำสืบ มีพิรุธไม่น่าเชื่อถือนั้น เป็นเพียงความเห็นของจำเลยที่ 1 เอง ฎีกาข้ออื่นๆ ของจำเลยที่ 1 ก็เป็นเพียงข้อปลีกย่อยที่ไม่สามารถรับฟังเพื่อเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดสองกรรมต่างกันนั้นยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากการกระทำความผิดตามฟ้องทั้งสองข้อหามีเจตนาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการสมคบ หรือการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม คือเจตนาเพียงเพื่อต้องการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออ้างยืนยันถึงจำเลยที่ 2 มาก่อนเลย จนกระทั่งจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ไปกับจำเลยที่ 1 ด้วยขณะถูกจับกุม เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อพยานที่โจทก์นำสืบไม่อาจยืนยันให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาไอซ์ของกลางอย่างไร ลำพังข้อเท็จจริงเพียงจำเลยที่ 2 เดินไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 ขณะถูกจับกุม จึงยังเป็นพิรุธน่าสงสัยอยู่ ยังไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2 จะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ ทั้งจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 วรรคสอง คดีไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้องโจทก์ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เสีย ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6