แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ขับรถยนต์ทางตรงผ่านทางแยกทางร่วมเร็วกว่ากำหนด ชนกับรถของจำเลยที่ขับเลี้ยวยื่นล้ำเข้าไปในทางรถของโจทก์1 เมตร ศาลให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ลดลง 2 ใน 5 มารดาโจทก์เป็นโรคอยู่ก่อนแต่ตายเพราะรถชนกันโดยจำเลยละเมิด จำเลยต้องรับผิด ค่าส่งศพกลับคืนไปประเทศภูมิลำเนาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการปลงศพ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 5 ใช้ค่าสินไหมแก่โจทก์ 82,256.25 บาทกับดอกเบี้ย จำเลยที่ 5 รับผิดร่วม 50,000บาทตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามเอกสารหมาย ล.1ว่า อัยการศาลทหารกรุงเทพได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาว่าขับรถโดยประมาทตัดหน้ารถของโจทก์ เป็นเหตุให้นางคาโรไลน์ มอมเมอร์ มารดาของโจทก์ซึ่งโดยสารรถโจทก์มาด้วยได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย คดีถึงที่สุดโดยศาลทหารสูงสุดพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุกสองปีปรากฏตามคำพิพากษาศาลทหารสูงสุดที่ 39/2519 พยานหลักฐานที่นำสืบมาในคดีนี้ก็ได้ความเช่นเดียวกับในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาทมากกว่าจำเลยที่ 1 นั้นศาลฎีกาเห็นว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นสี่แยกทางเข้าบ้านพักพนักงานรถไฟ และแยกหอวังตัดกับถนนสายกรุงเทพ – สระบุรี โจทก์ขับรถจากดอนเมืองโดยวิ่งในช่องทางขวาชิดเกาะกลางถนน ซึ่งวิ่งมาในทางตรง มีรถของจำเลยวิ่งเลี้ยวเข้ามาที่ช่องว่างระหว่างเกาะกลางถนน ตัดหน้ารถโจทก์หัวรถล้ำเข้าไปในถนนขวางทางตรงในเส้นทางของโจทก์ประมาณ 1 เมตร จึงเกิดชนกันขึ้น การที่จำเลยขับรถยื่นล้ำเข้าไปในทางวิ่งของรถทางตรงโดยไม่ระมัดระวังให้รถทางตรงผ่านพ้นไปเสียก่อนนั้น นับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รถเกิดชนกันในครั้งนี้ แม้ว่าที่เกิดเหตุจะเป็นทางแยกทางร่วม ซึ่งมีป้ายกำหนดให้รถทางตรงวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อยู่ด้วยก็ตาม ก็ยังนับได้ว่าอุบัติเหตุรถชนกันในครั้งนี้เป็นผลจากความประมาทของจำเลยที่ 1 อยู่นั่นเอง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 มีส่วนแห่งความประมาทด้วยกันทั้งคู่ และกำหนดให้โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนลดลง 2 ใน 5 ส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 นั้นเป็นการสมควรแก่กรณีแล้ว
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขับรถไปนอกทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นั้น คดีก็ได้ความตามคำของนายสุทิน ศิริประเสริฐ พยานจำเลยเองว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 และได้รับคำสั่งจากนายสุทิน ศิริประเสริฐ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของห้างจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปขนน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันศิวะเนรมิต ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ แล้วไปเกิดชนกันขึ้นเช่นนี้ จำเลยที่ 2 จะเถียงว่านอกทางการที่จ้างของตนหาได้ไม่
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า นางคาโรไลน์มอมเมอร์ มารดาของโจทก์ที่ตายได้ป่วยเป็นโรคอื่นมาก่อนแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้นางคาโรไลน์มอมเมอร์จะมีโรคอื่นมาก่อน แต่เมื่อมาตายเพราะรถชนกันอันเป็นผลจากการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้น
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในเรื่องค่าสินไหมทดแทนว่า ค่าจ้างพยาบาลพิเศษเป็นค่ารักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คนไข้ที่รับการผ่าตัดและมีอาการหนักย่อมต้องมีพยาบาลดูแลเป็นพิเศษ จะว่าไม่จำเป็นหาได้ไม่ ค่าขนส่งศพกลับภูมิลำเนาของผู้ตายที่ประเทศเยอรมันก็นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นอันเกี่ยวเนื่องกับค่าปลงศพเช่นเดียวกัน รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถ ซึ่งศาลล่างทั้งสองกะประมาณให้วันละ 60 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว”
พิพากษายืน