แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยสั่งโจทก์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และได้ออกเช็คเพื่อการชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นไว้แก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องออกเงินทดรองจ่ายให้ก่อน เมื่อทวงถามจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็ชอบที่จะนำหลักทรัพย์คือหุ้นที่เป็นของจำเลยออกขายแล้วนำมาหักกลบลบหนี้ได้ แสดงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ทั้งที่ยังไม่รู้ถึงจำนวนหนี้แน่นอน จะรู้เมื่อหักหุ้นที่โจทก์นำออกขายและนำมาหักกลบลบหนี้เหลือเป็นจำนวนหนี้สุทธิ ดังนั้น การจ่ายเช็คของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการค้ำประกันหนี้ ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก2 ปี สำหรับเช็คหมาย จ.7 และ จ.9 ให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกกระทง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับเช็คเอกสารหมาย จ.7 และ จ.9 โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงเป็นยุติ คงมีปัญหาในชั้นฎีกาเฉพาะเช็คเอกสารหมาย จ.11 และจ.13 เท่านั้น ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.11 และ จ.13 มอบให้โจทก์ และจำเลยเป็นลูกค้าโจทก์โดยเปิดบัญชีประเภทแบบเงินสดและแบบสินเชื่อตามเอกสารหมายจ.3 และ จ.4 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.11 และ จ.13 หรือไม่โจทก์มีนายพูนศักดิ์ ชุมชวลิต ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2537 จำเลยออกเช็ครวม 4 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.7 จ.9 จ.11 และ จ.13ให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ รวมเป็นเงิน 11,049,309.25 บาท และพยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ยอดเงินตามเช็คดังกล่าวที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลย หากนำเงินที่ขายหุ้นของจำเลยมาหักกลบลบหนี้จะคงเหลือหนี้ที่จำเลยค้างชำระ 6,000,000 บาทเศษซึ่งต้องคิดดอกเบี้ยในต้นเงินที่ค้าง6,000,000 บาทเศษ นี้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี เท่านั้นตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.1 ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยว่าเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ได้มอบให้โจทก์เพื่อเป็นการค้ำประกันการซื้อขายหุ้น โดยจำเลยสั่งซื้อหุ้นไม่มีการสั่งขาย จำเลยต้องจ่ายเช็คมอบให้โจทก์ โดยตกลงกันว่าโจทก์จะไม่นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินจนกว่าจะมีการขายหุ้นนั้น เมื่อขายหุ้นได้โจทก์จะสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยนำไปเข้าบัญชีของจำเลย โดยหากขายขาดทุนจำเลยก็จะเพิ่มเงินเข้าไป ในกรณีที่มีการชำระบัญชีหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์จะคืนเช็คที่จำเลยจ่ายค้ำประกันไว้ให้ และเมื่อขายหุ้นที่เหลืออยู่ในบัญชีแล้วนำหักกลบลบหนี้ตามเอกสารหมาย ล.1 เมื่อมีการขายหุ้นอีกหลายครั้งและนำมาหักกลบลบหนี้กันหลายครั้ง จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ประมาณ 6,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.5 จึงฟังได้ว่า โจทก์ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คไว้ล่วงหน้าโดยยังไม่รู้ถึงจำนวนหนี้ซึ่งต้องนำเอาหุ้นของจำเลยออกขายแล้วนำเงินค่าหุ้นมาหักหนี้ของโจทก์แล้วจึงจะรู้ว่ามีเท่าใด พฤติการณ์จึงเห็นได้ว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คไว้เป็นการค้ำประกันหนี้ และจากพยานโจทก์ได้ความว่า เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ จ่ายเกินกว่าวงเงินตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4ก็แสดงว่าเป็นการสั่งซื้อหุ้นโดยให้โจทก์จ่ายเงินทดรองไปก่อนซึ่งเป็นการซื้อหุ้นแบบเงินเชื่อ และเมื่อพิจารณาตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนและนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ตามเอกสารหมาย จ.3ในข้อ 8 โจทก์มีสิทธิขายหลักทรัพย์ทั้งหมดของลูกค้าที่มีอยู่กับบริษัทในราคาที่บริษัทพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมกับสภาวะการณ์หรือสภาพตลาดในวันที่ขายและนำเงินที่ได้และหรือจำนวนเงินใด ๆรวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของลูกค้าเข้าหักกลบลบหนี้กับหนี้สินใด ๆที่ลูกค้าค้างชำระอยู่กับบริษัทได้ทันที และหากมีหนี้สินค้างชำระเหลืออยู่อีกลูกค้ายินยอมชดใช้คืนบริษัทจนกว่าจะครบถ้วน ดังนั้น การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยจึงไม่มีเจตนากระทำผิดที่โจทก์อ้างว่าเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ จ่ายตามคำสั่งซื้อหลักทรัพย์ในแต่ละวันซึ่งตรงตามใบยืนยันการซื้อขายหลักทรัพย์เอกสารหมาย จ.6แต่เกินกว่าวงเงินตามเอกสารหมาย จ.3 ก็ตาม ก็ถือว่าโจทก์ซื้อหลักทรัพย์ตามคำสั่งจำเลยตามที่ตกลง จำเลยมีหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.3 ในการชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ และไม่มีข้อความใด ๆตามเอกสารหมาย จ.3 ที่ระบุให้จำเลยนำหลักประกันให้ไว้กับโจทก์ในการสั่งซื้อหลักทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หากจำเลยสั่งโจทก์ซื้อหุ้นและโจทก์ต้องออกเงินทดรองจ่ายให้ก่อนเมื่อทวงถาม จำเลยไม่ชำระ โจทก์ก็ชอบที่จะนำหลักทรัพย์คือหุ้นที่เป็นของจำเลยออกขายแล้วนำหักกลบลบหนี้ ดังนั้นการจ่ายเช็คล่วงหน้าดังกล่าวจำเลยยังไม่รู้ถึงจำนวนหนี้แน่นอนว่าเท่าใด จะรู้เมื่อหักหุ้นที่โจทก์นำออกขายและนำมาหักกลบลบหนี้เหลือหนี้สุทธิเท่าใดดังนั้น การจ่ายเช็คของจำเลยดังกล่าวไว้จึงเป็นการค้ำประกันหนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน