แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 จึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินที่ได้มาระหว่างที่จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายม้วน เมื่อนายม้วนตายต้องแบ่งสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งจำเลยได้ 1 ส่วน นายม้วนได้ 2 ส่วน ส่วนของนายม้วนตกแก่ทายาททั้งหมดคือจำเลยในฐานะภริยาและทายาทอื่นรวมทั้งหมด 8 คน
พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยลงชื่อรับมรดกที่ดินนั้นเป็นการครอบครองมรดกไว้แทนทายาทอื่น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังทายาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือหรือครอบครองที่ดินแปลงนี้แทนทายาทอื่นอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องในนามของทายาทขอให้แบ่งมรดกได้ไม่ขาดอายุความ
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 671 ให้ทายาทคือนายเหมือนกับพวกตามส่วน แต่ระหว่างพิจารณาจำเลยและนายเหมือนกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอื่นว่า “ค่าที่ดินแปลงที่พิพาทนี้ในส่วนยอดเงินแคชเชียร์เช็คจำนวน 289,428 บาท ซึ่งมีชื่อนางเผือก ลำใย จำเลย และนายเหมือนผู้ร้องสอด เงินจำนวนนี้เป็นยอดเงินซึ่งจำเลยและผู้ร้องสอดมีข้อพิพาทกันในคดีแพ่งที่ 221/2527 (คือคดีนี้) ซึ่งหากคดีแพ่ง 221/2527 ถึงที่สุดว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ ผู้นั้นจะเป็นผู้รับเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยไป” เมื่อศาลพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่จำต้องแก้ไขคำขอท้ายฟ้องในคดีนี้ เพราะไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นถือเสมือนว่าเป็นข้อตกลงในการบังคับคดีเกี่ยวกับคำขอบังคับของโจทก์และเป็นข้อตกลงที่ไม่เกินส่วนที่ขอไว้ตามคำขอเดิม ศาลจึงพิพากษาให้ได้ไม่เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเหมือน นางแผ้ว นางสวิง นายเสวย นางลำพึง และนางแว่วเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและนายม้วนเจ้ามรดกซึ่งแต่งงานอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๓ สำหรับนางแว่วถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ นางอำไพผู้เป็นบุตรจึงรับมรดกแทนที่ ระหว่างที่จำเลยและนายม้วนอยู่กินเป็นสามีภริยากันมีทรัพย์สินหามาได้เป็นที่ดิน ๓ แปลงขอให้จำเลยแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกให้แก่นายเหมือนกับพวกรวม ๖ คน ตามส่วน หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องที่เป็นทรัพย์มรดกมีเพียงแปลงเดียวคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๒ ส่วนที่ดินอีก ๒ แปลง ไม่ใช่ทรัพย์มรดก เมื่อนายม้วนถึงแก่กรรมจำเลยจึงได้ยื่นคำร้องขอรับโอนที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว โดยนายเหมือนกับพวกทั้ง ๖ คน ไม่เคยครอบครองหรือเกี่ยวข้อง จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้แบ่งที่ดินมรดก โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากนายม้วนถึงแก่กรรมไปกว่า๑๐ ปี จึงขาดอายุความมรดก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๒ ตำบลบางบ่ออำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ให้แก่นายเหมือน นางแผ้ว นางสวิง นายเสวย นางลำพึง และนางอำไพ คนละ ๑ ใน ๘ ของที่ดินส่วนของนายม้วนเจ้ามรดกซึ่งมีอยู่ ๒ ใน ๓ ส่วน (จากจำนวนที่จำเลยและนายม้วน ลำใย ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน) แต่ต้องไม่เกินคำขอ คือไม่เกินกว่าคนละ ๒ งาน๖๖ ตารางวา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้คงมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ ตำบลระกาศอำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ปัญหาว่าที่ดินแปลงนี้เป็นมรดกของนายม้วนหรือไม่ เท่าใด ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิมใช้บังคับ จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินแปลงนี้ได้มาระหว่างที่จำเลยกับนายม้วนเป็นสามีภริยากัน จึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายม้วนและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อนายม้วนถึงแก่ความตาย ต้องแบ่งสินสมรสระหว่างจำเลยและนายม้วนตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งจำเลยจะได้ ๑ ส่วน นายม้วนได้ ๒ ส่วน ส่วนของนายม้วนนี้เป็นมรดกได้แก่ทายาทซึ่งมีอยู่ ๘ คน คือจำเลยในฐานะภริยา นางจำลอง นายเหมือน นางแผ้ว นางสวิงนายเสวย นางลำพึง และนางอำไพ ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งคนละ ๑ ใน ๘ ส่วนของ ๒ ใน ๓ ส่วน ที่เป็นมรดกของนายม้วน
ในปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า หลังจากนายม้วนถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยได้เป็นผู้ลงชื่อรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ คนเดียว โดยหลังจากที่นายม้วนถึงแก่ความตายจนถึงวันที่จำเลยไปลงชื่อรับมรดกในที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ นั้น ยังไม่มีการแบ่งปันมรดกของนายม้วนระหว่างทายาทเลย ตามบันทึกด้านหลังคำขอโอนมรดกที่ดินแปลงนี้ก็ได้ระบุบัญชีเครือญาติไว้ และมีทายาทบางคนยังไม่บรรลุนิติภาวะ นางลำพึงบุตรคนหนึ่งก็ยังอยู่กับจำเลย ต่อมาเมื่อมีการร้องขอจัดการมรดกของนายม้วน จำเลยก็ขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายม้วนร่วมกับนายเหมือนพฤติการณ์ดังนี้แสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยไปลงชื่อรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ ของนายม้วนเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๔ นั้น เป็นการครอบครองมรดกไว้แทนทายาท ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังทายาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือหรือครอบครองที่ดินแปลงนี้แทนทายาทอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องในนามของทายาทขอให้แบ่งได้ไม่ขาดอายุความ ส่วนปัญหาว่า เมื่อที่ดินแปลงนี้ได้โอนไปเป็นของบุคคลภายนอกในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ศาลจะมีคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้หรือไม่อย่างไรนั้น คำขอของโจทก์ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ ให้นายเหมือน นางแผ้ว นางสวิงนายเสวย นางลำพึง และนางอำไพ ซึ่งเป็นทายาทตามส่วน ระหว่างพิจารณาคดีนี้ จำเลยและนายเหมือนกับพวกซึ่งเป็นทายาทดังกล่าว ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๙๒/๒๕๒๗มีความว่า “ค่าที่ดินแปลงที่พิพาทนี้ในส่วนยอดเงินแคชเชียร์เช็คจำนวน ๒๘๙,๔๒๘ บาท ซึ่งมีชื่อนางเผือกลำใย จำเลยและนายเหมือน ผู้ร้องสอด เงินจำนวนนี้เป็นยอดเงินซึ่งจำเลยและผู้ร้องสอดมีข้อพิพาทกันในคดีแพ่งที่ ๒๒๑/๒๕๒๗ (คือคดีนี้) ซึ่งหากคดีแพ่ง ๒๒๑/๒๕๒๗ ถึงที่สุดว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ ผู้นั้นจะเป็นผู้รับเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย” เมื่อศาลพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวและโอนที่ดินแปลงนี้ให้บุคคลภายนอกไปแล้ว โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำฟ้องในคำขอท้ายฟ้อง เห็นว่า การที่โจทก์จะขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องหรือไม่นั้นไม่ทำให้ผลของการวินิจฉัยคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป เพราะข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวนั้นถือเสมือนว่าเป็นข้อตกลงในการบังคับคดีเกี่ยวกับคำขอบังคับของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ และข้อตกลงนั้นไม่เกินส่วนที่ขอไว้ตามคำขอเดิม ศาลจึงพิพากษาให้ได้ไม่เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๑ ตำบลระกาศ อำเภอบางบ่อ(บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน ๒ ใน ๓ ส่วนของนายม้วน ให้นายเหมือน นางแผ้ว นางสวิงนายเสวย นางลำพึงและนางอำไพ คนละ ๑ ใน ๘ ส่วน การบังคับคดีในส่วนนี้ให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๙๒/๒๕๒๗ ของศาลจังหวัดสมุทรปราการระหว่างนายสนชัย วนาศรีสันต์ โจทก์ นายเหมือน ลำใย กับพวกรวม ๖ คน ผู้ร้องสอด นางเผือกลำใย จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.