คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 274 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นเพียงบทบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันโดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นคดีใหม่เท่านั้นหามีข้อความให้ปรากฏว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อโจทก์เกินกว่าหลักทรัพย์ที่นำมาวางประกันต่อศาลไม่ผู้ค้ำประกันจะรับผิดเพียงใด ในระยะเวลาอย่างไรต้องแล้วแต่ข้อสัญญา เมื่อตามหนังสือสัญญาค้ำประกันมีว่า ถ้าจำเลยแพ้คดีและไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเงินเท่าใด ผู้ค้ำประกันยอมให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินที่ผู้ค้ำประกันนำมาวางให้ไว้เป็นประกันต่อศาลได้ทันทีและในสัญญานี้ได้ระบุรายการหลักทรัพย์ที่ผู้ค้ำประกันนำมาวางโดยหลักทรัพย์นี้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นทั้งโจทก์ก็ไม่คัดค้าน ยอมให้ผู้ค้ำประกันทำหนังสือสัญญาประกันได้ จึงชอบที่โจทก์จะขอบังคับเอาจากทรัพย์ที่วางไว้ตามสัญญา จะขอบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นอีกหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากนายจำนง ทวีสิน เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลว่า ถ้าจำเลยแพ้คดีโจทก์และไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา นายจำนงยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่นายจำนงนำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาลได้ทันที คือที่ดินโฉนดเลขที่ 1834 ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและโจทก์ยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดแต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ โจทก์จึงขอยึดทรัพย์สินอื่นของผู้ค้ำประกันอีก ศาลชั้นต้นสั่งว่าสัญญาประกันนี้เป็นสัญญาประกันด้วยบุคคล แต่ผู้ค้ำประกันจำกัดความรับผิดไว้เพียงไม่เกินราคาทรัพย์ที่นำมาวางประกันต่อศาล โจทก์จึงยึดทรัพย์สินอื่นของผู้ค้ำประกันไม่ได้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ค้ำประกันตามคำขอของโจทก์ได้

ผู้ค้ำประกันฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา 274 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติว่า “ถ้าบุคคลใด ๆ ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำหนังสือประกันหรือโดยวิธีอื่น ๆ เพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นย่อมใช้บังคับแก่การประกันนั้นได้ โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่” ในบทมาตรานี้เป็นเพียงบัญญัติให้อำนาจศาลในอันที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันโดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นคดีใหม่ต่างหาก เท่านั้น หาได้มีข้อความอื่นใดให้ปรากฏเป็นทำนองว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ เกินกว่าหลักทรัพย์ที่นำมาวางประกันต่อศาลแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่ผู้ค้ำประกันจะรับผิดเพียงใด ในระยะเวลาอย่างไรนั้น ต้องแล้วแต่ข้อสัญญา ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 14 มีนาคม 2512 ระบุไว้ชัดว่า “ข้าพเจ้านายจำนง ทวีสิน ขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดว่า ถ้าจำเลยในคดีนี้แพ้คดีโจทก์และไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเท่าใด ข้าพเจ้ายอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ข้าพเจ้านำมาวางให้ไว้เป็นประกันต่อศาลได้ทันที คือที่ดินโฉนดเลขที่ 1834 ตำบลบางหว้า อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรีเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา ราคา 3,010,800 บาท ฯลฯ” ซึ่งในสัญญานี้ได้ระบุรายการหลักทรัพย์ โดยยอมให้บังคับเอาจากทรัพย์ที่ผู้ค้ำประกันนำมาวาง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 1834 เท่านั้น และหลักทรัพย์ที่นำมาวางนี้ก็เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้น ทั้งโจทก์ก็ไม่คัดค้านยอมให้ผู้ค้ำประกัน ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันได้ จึงชอบที่โจทก์จะขอบังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่วางไว้ตามสัญญา จะขอบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันหาได้ไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ค้ำประกันด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ค้ำประกันฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share