คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2020/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มีดของกลางเป็นมีดสำหรับใช้ทำครัวภายในบ้านของผู้เสียหาย แม้จะเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ศาลไม่อาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคสองต้องคืนแก่เจ้าของ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านพัก อันเป็นเคหสถานของนายวีระชัย โรจนสิริ ผู้เสียหายที่ 1 และร่วมกันชิงเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น และสร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น รวมราคา 10,000 บาท ของนางสาวปิยะนุช โรจนสิริ ผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยทุจริต โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้ผ้าเช็ดมือมัดปากใช้สายไฟฟ้าและเชือกไนลอนมัดมือมัดเท้า ใช้มีดทำครัวจ่อและกรีดที่บริเวณลำคอของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเพื่อสะดวกแก่การทำผิดฐานชิงทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เจ้าพนักงานยึดได้มีดทำครัว 1 เล่ม เชือกไนลอน 1 เส้น ผ้าเช็ดมือ 1 ผืนและสายไฟฟ้า 1 เส้น เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 339 ริบของกลางและให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ชิงไปหรือชดใช้ราคา 10,000 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 2

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำคุก 12 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ชิงไปหรือชดใช้ราคา 10,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวปิยะนุช โรจนสิริผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 อยู่บ้านคนเดียวและกำลังจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ จำเลยกับพวกอีก 1 คนซึ่งเป็นหญิงเข้าไปภายในบ้านทางด้านหลังผู้เสียหายที่ 2 จำเลยใช้มือขวาล็อกคอและใช้มือซ้ายปิดปากแล้วลากผู้เสียหายเข้าไปในห้องน้ำจับผู้เสียหายที่ 2 ให้นอนลงกับพื้นขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายที่ 2 ใช้มือล็อกแขนผู้เสียหายที่ 2 ไปทางด้านหลัง ต่อมาพวกของจำเลยนำเชือกไนลอน สายไฟฟ้าและผ้าเช็ดมือมาให้จำเลยใช้มัดมือ มัดเท้าและมัดปากผู้เสียหายที่ 2 แล้วจำเลยปลดเอาสร้อยข้อมือทองคำและสร้อยคอทองคำหนักเส้นละ 1 บาท ของผู้เสียหายที่ 2 ไป จากนั้นจำเลยได้สอบถามผู้เสียหายที่ 2 ว่า เงินอยู่ที่ไหนก่อนที่จะปล่อยผู้เสียหายที่ 2 ไว้ในห้องน้ำและออกไปค้นหาทรัพย์สินภายในบ้านแล้วหลบหนีไป เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ได้เปิดไฟฟ้าในห้องน้ำไว้ก่อนแล้ว ซึ่งตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่า หลอดไฟฟ้าดังกล่าวเป็นหลอดกลมขนาด 60 วัตต์ จึงมีแสงสว่างเพียงพอที่ผู้เสียหายที่ 2 จะเห็นจำเลยได้ทั้งขณะที่จำเลยขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายที่ 2 นั้น ใบหน้าอยู่ห่างกันประมาณ 1 ฟุต และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำเลยยังได้พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 2 โดยสอบถามที่ซ่อนทรัพย์สิน ผู้เสียหายที่ 2 มีโอกาสเห็นจำเลยในระยะใกล้และเป็นเวลานานพอสมควรจึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 2 จำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย โดยเฉพาะก่อนวันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปจอดที่บริเวณหน้าบ้านและเข้าไปถามผู้เสียหายที่ 2 ว่าบิดามารดาของผู้เสียหายที่ 2 อยู่หรือไม่ การที่ผู้เสียหายที่ 2 เคยพบจำเลยมาก่อนจึงทำให้สามารถจำจำเลยได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เสียหายที่ 2ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ.2 (ศาลจังหวัดพังงา) ยืนยันว่า คนร้ายเป็นคนเดียวกับชายที่เคยไปถามหาบิดาของผู้เสียหายที่ 2 ก่อนวันเกิดเหตุแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายที่ 2 มีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายที่ 2 ไปดูตัวจำเลยแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 ได้ยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทันที แม้ผู้เสียหายที่ 2 จะให้การต่อพนักงานสอบสวนระบุตำหนิรูปพรรณของคนร้ายโดยรวม โดยไม่ได้ระบุลักษณะเด่นลักษณะด้อยของคนร้ายก็ตามก็หาทำให้คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 เป็นพิรุธตามที่จำเลยฎีกาไม่ ทั้งนี้เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายที่ 2ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นกะทันหันผู้เสียหายที่ 2 ย่อมจะต้องสนใจส่วนใบหน้าและร่างกายในส่วนสำคัญเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำเท่านั้นศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง สำหรับมีดทำครัว 1 เล่ม ของกลางนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ว่า เป็นมีดสำหรับใช้ทำครัวภายในบ้านของผู้เสียหายทั้งสอง แม้จะเป็นของที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดก็ตาม แต่ผู้เสียหายทั้งสองก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยกับพวก ศาลจึงไม่อาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบมีดทำครัวของกลางจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”

พิพากษายืน แต่มีดทำครัวของกลางไม่ริบ ให้คืนแก่เจ้าของ

Share