คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์ตราไปรษณียากรที่ระลึกเพื่อการสะสมออกจำหน่ายโดยมีจำเลยที่ 2 พนักงานของจำเลยที่ 1มีหน้าที่จำหน่ายและรับสั่งจองจากผู้ซื้อ โจทก์ติดต่อสั่งจองซื้อจากจำเลยที่ 2 และมอบเช็คเงินสดให้จำเลยที่ 2แม้โจทก์สั่งจ่ายเช็คเงินสดให้แก่ผู้ถือแทนที่จะสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 จะผิดระเบียบ แต่ถ้าผู้รับสั่งจองคือจำเลยที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ก็จะจัดส่งตราไปรษณียากรที่ระลึกให้โจทก์ ปัญหาจึงเกิดจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงิน จึงปฎิเสธการกระทำของจำเลยที่ 2หากจำเลยที่ 1 ได้รับเงินก็จะไม่ปฎิเสธโดยอ้างว่าเป็นใบเสร็จรับเงินปลอมหรือจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนืออำนาจเมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์ทราบระเบียบแล้วจงใจฝ่าฝืน โจทก์จึงมิได้ประมาทเลินเล่อในการสั่งซื้อ เหตุเกิดจากจำเลยที่ 1มิได้ควบคุมดูแลการปฎิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 นำเช็คที่รับไว้ไปเรียกเก็บเงินและนำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวและจำเลยที่ 1 ก็มิได้ถือเอาการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการผิดระเบียบหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 รับสั่งจองซื้อและรับเช็คเงินสดจากโจทก์จึงเป็นการปฎิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 โดยชอบมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2รับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงานธุรการในกองตราไปรษณียากร มีอำนาจหน้าที่จัดจำหน่ายและรับเงินค่าซื้อตราไปรษณียากร โจทก์สั่งซื้อตราไปรษณียากรที่ระลึกเรียกชื่อว่าชุดไทยเพกซ์ 2536 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินครบถ้วนตามอำนาจหน้าที่และในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ส่งมอบตราไปรษณียากรที่ระลึกชุดไทยเพกซ์ 2536 แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยที่ 1 เพิกเฉยจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งได้กระทำไปตามอำนาจหน้าที่และในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ส่งมอบตราไปรษณียากรที่ระลึกชุดไทยเพกซ์ 2536 แก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งมอบได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์สั่งซื้อหนังสือที่ระลึกงานแสดงตราไปรษณียากรโลก กรุงเทพฯ 2536 เรียกชื่อว่าชุดไทยเพกซ์ 2536 จากจำเลยที่ 1 จำนวนเพียง 20 เล่ม ราคาเล่มละ 150 บาท เป็นเงิน 3,000 บาท จำเลยที่ 1 ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ไม่ได้สั่งซื้อสิ่งของตามฟ้องจากจำเลยที่ 1 ใบเสร็จรับเงินตามสำเนาที่แนบท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนจำเลยที่ 1ในการรับสั่งซื้อหรือรับชำระราคาค่าซื้อขาย โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นเอกสารปลอมที่เห็นได้ชัดที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ชำระราคาด้วยเช็คปรากฎว่าเช็คยังไม่ได้ขึ้นเงินโจทก์จึงยังไม่เสียหาย ฟ้องเคลือบคลุมและขาดอายุความ1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 19 ธันวาคม 2537) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้ขายหรือไม่ ได้ความว่า จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์ตราไปรษณียากรที่ระลึกเพื่อการสะสมออกจำหน่าย จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จำหน่ายและรับสั่งจองจากผู้ซื้อ โจทก์และนายสมศักดิ์ ปลั่งรัศมี พยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์มอบให้นายสมศักดิ์ไปซื้อตราไปรษณียากรที่ระลึกจากจำเลยที่ 1นายสมศักดิ์ไปติดต่อสั่งจองซื้อจากจำเลยที่ 2 ที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ที่บางรัก กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ มอบเช็คเงินสดของโจทก์ 2 ฉบับ ตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 แยกออกใบเสร็จรับเงินให้เป็นหลายฉบับเนื่องจากมีระเบียบห้ามบุคคลคนเดียวซื้อจำนวนมากโจทก์อ้างส่งสำเนาใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเฉพาะเท่าที่เป็นปัญหาในคดีนี้ซึ่งยังไม่ได้รับมอบของจำนวน 10 ฉบับ ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.3 (10 ฉบับ) ส่วนต้นฉบับใบเสร็จรับเงินจำเลยที่ 2เป็นผู้เก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานขอรับตราไปรษณีย์กรที่ระลึกเพื่อส่งมอบแก่โจทก์ ใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจะเป็นเอกสารปลอมหรือไม่นั้น นายสมนึก ชินวิชา พนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีและการเงินของกองตราไปรษณียากรในสังกัดจำเลยที่ 1 เป็นพยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ลายมือชื่อผู้รับเงินในสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.3 ทั้ง 10 ฉบับ เป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2และแบบพิมพ์ใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ดังนี้เมื่อพิจารณาลักษณะของใบเสร็จรับเงินประกอบด้วยแล้ว ก็เห็นได้ว่าไม่มีส่วนใดที่น่าสงสัยว่าปลอม ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้ว่ากล่าวเอาโทษจำเลยที่ 2 ฐานปลอมใบเสร็จรับเงิน จึงเชื่อได้ว่าเป็นใบเสร็จรับเงินที่แท้จริง โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินดังกล่าวให้โจทก์ ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่ามีรอยขูดลบตัวเลขเล่มที่และเลขที่ของใบเสร็จรับเงินและตัวเลขดังกล่าวมีน้อยหลักรูปสี่เหลี่ยมในช่องอัตราภาษีมีขนาดใหญ่กว่าของจริง จึงเป็นใบเสร็จรับเงินปลอมนั้น เห็นได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเป็นใบเสร็จรับเงินปลอม ข้อที่จำนวนเงินในเช็คไม่พอดีกับราคาของ ไม่เป็นข้อพิรุธอันควรสงสัยว่าไม่ใช่เช็คชำระราคาค่าสั่งจองซื้อเพราะปรากฎตามสำเนาใบแจ้งยอดแจ้งยอดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.13 ว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2โดยไม่ปรากฎว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีหนี้สินส่วนตัวต่อกันเชื่อได้ว่าเป็นเช็คที่โจทก์ใช้ชำระราคาค่าสั่งจองซื้อตราไปรษณียากรที่ระลึกจากจำเลยที่ 1 โดยนายสมศักดิ์ผู้แทนโจทก์มอบเช็คให้จำเลยที่ 2 รับไว้แทนจำเลยที่ 1 นางประภาศรีเรี่ยวพานิชกุล ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกจำหน่ายตราไปรษณียากรเพื่อการสะสมในสังกัดจำเลยที่ 1 และเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เป็นพยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่าที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คเงินสดให้แก่ผู้ถือแทนที่จะสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 นั้น แม้ผิดระเบียบ แต่ถ้าผู้รับสั่งจองคือจำเลยที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็จะจัดส่งตราไปรษณียากรที่ระลึกให้โจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่าปัญหาเกิดจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงิน จึงปฎิเสธการกระทำของจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 1 ได้รับเงินก็เชื่อได้ว่าจะไม่ปฎิเสธโดยอ้างว่าเป็นใบเสร็จรับเงินปลอมหรือจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนืออำนาจแต่การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงิน ไม่อาจถือเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 เพราะเชื่อได้ว่านายสมศักดิ์ผู้แทนโจทก์ไปติดต่อสั่งจองซื้อที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะพนักงานของจำเลยที่ 1เป็นผู้ให้บริการ หากโจทก์ออกเช็คเงินสดสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือเป็นการผิดระเบียบจำเลยที่ 2 หรือผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ก็มีอำนาจสั่งให้โจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องตามระเบียบได้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบระเบียบข้อนี้แล้วจงใจฝ่าฝืน เห็นได้ว่าโจทก์มิได้ประมาทเลินเล่อในการสั่งซื้อ ใบเสร็จรับเงินที่จำเลยที่ 2 ออกให้ก็เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลการปฎิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 เชื่อได้ว่าเหตุเกิดจากจำเลยที่ 1 มิได้ควบคุมดูแลการปฎิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 นำเช็คที่รับไว้ไปเรียกเก็บเงินและนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว นายนิวาส ชุมทอง หัวหน้าแผนกคดี กองนิติการให้สังกัดจำเลยที่ 1 เป็นพยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่าหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แต่ยังไม่ปรากฎผลการสอบสวน นายพิชัย นภาสวัสดิ์ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองตราไปรษณียากรในสังกัดจำเลยที่ 1 เป็นพยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ถูกออกจากงานมิใช่เพราะยักยอกเงินค่าสั่งจองในเรื่องนี้ แต่ถูกออกเนื่องจากขาดงานเกิน15 วัน ดังนี้ เป็นข้อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ถือเอาการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการผิดระเบียบหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 รับสั่งจองซื้อและรับเช็คเงินสดจากผู้แทนโจทก์ในฐานะปฎิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 โดยชอบจึงผูกพันจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของโจทก์ในการสั่งซื้อจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยข้ออื่น ๆ ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share