แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและให้โจทก์ที่ 2 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสองแต่เป็นลายมือชื่อที่จำเลยทำปลอมขึ้นอันเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันจริง ต่อมาโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันและสัญญาทั้งสองฉบับเป็นโมฆะกรรม อันเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมบางส่วนก็ตาม แต่เมื่อประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับคดีก่อนเป็นประเด็นเดียวกันว่า สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันทั้งสองฉบับเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ดังนี้การฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2536 โจทก์ที่ 1ได้นำรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 มาจำนำไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้โจทก์ที่ 2 กู้ยืมเงินจำเลย โดยโจทก์ที่ 1 ได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวพร้อมใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และลงชื่อในใบมอบอำนาจการโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่จำเลยไว้ ต่อมาโจทก์ทั้งสองจำเป็นต้องใช้รถยนต์คันดังกล่าว จำเลยแจ้งว่าถ้าต้องการใช้รถยนต์ก็ต้องทำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานโจทก์ทั้งสองยินยอม จำเลยจึงคืนรถยนต์แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ที่ 1ลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและโจทก์ที่ 2 ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันแต่สัญญาทั้งสองฉบับยังไม่ได้กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับวันเดือนปีและจำนวนเงิน สัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันจึงเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจำนำรถยนต์ ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาทที่โจทก์ที่ 2 กู้ยืมจากจำเลยคืนแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่คืนสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าได้ทำลายด้วยการฉีกทิ้งไปแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมากรอกข้อความอันเป็นเท็จลงไปและจำเลยได้นำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไปฟ้องโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน2,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการปลอมแปลงเอกสารสิทธิ สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2536 จำนวน 2,200,000 บาทและสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะกรรม
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าเดิมจำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2194/2538 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2536 และให้โจทก์ที่ 2 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันโจทก์ที่ 1 ในคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสอง แต่เป็นลายมือชื่อที่จำเลยทำปลอมขึ้น ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 รับผิดชำระเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยคืนจำเลยหากโจทก์ที่ 1 ไม่ชำระให้โจทก์ที่ 2 ชำระแทนจนครบถ้วนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันโดยสัญญาดังกล่าวมิได้กรอกรายละเอียด วันเดือนปี และจำนวนเงินลงไว้ สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ปรากฏว่าในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนนทบุรีดังกล่าวจำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองให้รับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันโจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้ดังกล่าวข้างต้น แต่นำสืบปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่เคยกู้ยืมเงินจำเลยแต่เคยนำรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ไปจำนำไว้แก่จำเลย โดยจำเลยให้โจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้แก่จำเลยไว้ ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้ชำระหนี้จำนำรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์คืนแก่จำเลยครบถ้วนแล้วแต่จำเลยไม่คืนสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าฉีกทิ้งไปแล้ว ลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินคล้ายลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 ส่วนลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 2 สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันจึงเป็นเอกสารปลอม ซึ่งศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว ส่วนในคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันและสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะกรรมโดยอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะโจทก์ทั้งสองได้ทำให้จำเลยไว้เป็นประกันโดยยังไม่ได้กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับวันเดือนปีและจำนวนเงินในวันที่โจทก์ทั้งสองได้นำรถยนต์เบนซ์ที่ได้จำนำไว้แก่จำเลยมาใช้ในระหว่างอายุสัญญาจำนำ แต่ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้ชำระหนี้จำนำให้แก่จำเลยไปแล้ว จำเลยกลับไม่คืนสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ทั้งสอง แล้วจำเลยนำสัญญาทั้งสองฉบับมากรอกข้อความอันเป็นเท็จและนำไปฟ้องโจทก์ทั้งสองที่ศาลจังหวัดนนทบุรี การกระทำของจำเลยเป็นการปลอมเอกสารสิทธิเห็นว่าปัญหาว่าสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ศาลจังหวัดนนทบุรีได้วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าลายมือชื่อผู้กู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อของโจทก์ที่ 1 ส่วนโจทก์ที่ 2รับว่าได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนในคดีนี้ก็มีปัญหาเช่นเดียวกันกับในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนนทบุรี ว่าสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ แตกต่างกันเพียงว่าในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนนทบุรีโจทก์ทั้งสองว่าอ้างว่าสัญญาทั้งสองจำเลยทำปลอมขึ้นทั้งฉบับ แต่ในคดีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยทำปลอมขึ้นบางส่วน ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2194/2538 ของศาลจังหวัดนนทบุรี จึงเป็นประเด็นเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันกับจำเลยเพราะเหตุสัญญาทั้งสองฉบับเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ การฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันมาในประเด็นที่ศาลจังหวัดนนทบุรีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2194/2538 ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเมื่อศาลจังหวัดนนทบุรีในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจึงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันเป็นคดีนี้อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ
พิพากษายืน