แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ ว.และ ค. ขับตามลำดับชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นให้การ การที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับ ค. รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนโดยมิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุที่จำเลยที่ 2เป็นผู้รับประกันภัย และ ค. ผู้ขับมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย จึงขาดสาระสำคัญที่ทำให้จำเลยที่ 2ต้องรับผิด และเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามมาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และ 247 ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนเช่นกัน แต่โจทก์ มิได้บรรยายฟ้องว่า ว. ขับรถยนต์ในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจต่อสู้คดีได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมศาลจึงยกฟ้องจำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2532 เวลาประมาณ 19 นาฬิกานายร่มเย็น ทองสาย ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-8111กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นไปตามถนนสุขสวัสดิ์จากด้านบางปลากดมุ่งหน้าไปทางแยกพระประแดง นายวิเชียร อ่วมสุขขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-5504 นครสวรรค์ ที่จำเลยที่ 1เป็นผู้รับประกันภัยไว้แล่นนำหน้า เมื่อมาถึงปากทางเข้าโรงแรมขวัญใจนายวิเชียรได้ห้ามล้อรถที่ขับมาพร้อมกับเปลี่ยนช่องเดินรถมาทางช่องเดินรถขวาด้วยความประมาทไม่ระมัดระวังและดูให้ดีเสียก่อนว่ามีรถคันอื่นแล่นตามหลังมาหรือไม่เป็นเหตุให้นายร่มเย็นต้องชะลอความเร็วของรถลง และเตรียมที่จะหักหลบหรือหยุดรถตามแต่ยังไม่ทันพ้น นายคำหาญ สุภโกศล ซึ่งขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-6118 อุบลราชธานี ที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยแล่นตามหลังมาด้วยความเร็วสูงด้วยความประมาทชนท้ายรถคันที่โจทก์รับประกันภัยอย่างแรง และรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหลักพุ่งชนถูกท้ายรถยนต์คันหน้าแล้วพุ่งตกลงไปข้างทางได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปซ่อมและจ่ายเงินค่าซ่อมรถ ค่าอะไหล่ เป็นเงิน32,000 บาท ค่ายกลากรถเป็นเงิน 2,500 บาท รวมเป็นเงิน34,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันที่โจทก์ชำระค่าซ่อมรถยนต์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,587.50บาท จึงรับช่วงสิทธิในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินจำนวนดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 37,087.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินจำนวน 34,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของนายคำหาญ สุภโกศล และนายร่มเย็น ทองสายผู้ขับรถยนต์แล่นตามมาข้างหลัง ส่วนนายวิเชียร อ่วมสุขผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 รับประกันภัยไว้ขับรถอยู่ข้างหน้าจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดเท่านั้น ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายคำหาญ สุภโกศล มิได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของนางพีระพรรณ จิตเรืองไพโรจน์ เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัย นายคำหาญนำรถคันดังกล่าวไปใช้ในกิจการส่วนตัว นางพีระพรรณจึงไม่ต้องรับผิดเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด เหตุรถชนเกิดจากความประมาทของนายร่มเย็น ทองสาย ผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 81-8111 กรุงเทพมหานคร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมนั้น สำหรับปัญหาว่าคำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 หาได้หยิบยกประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขึ้นให้การต่อสู้โจทก์ไม่ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน80-6118 อุบลราชธานี ขอให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่นายคำหาญสุภโกศลขับรถคันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยโดยประมาทชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย เช่นนี้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887นั่นเอง แต่ตามมาตรา 887 นั้นผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ โจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏไม่ว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-6118อุบลราชธานี ที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏด้วยว่านายคำหาญผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนายคำหาญด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดและศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มาด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
ส่วนปัญหาว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-5504 นครสวรรค์แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า นายวิเชียร อ่วมสุข ผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวขับรถยนต์คันนั้นในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้น อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการทำละเมิดของนายวิเชียรเมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้วจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนไม่อาจต้องต่อสู้คดีโจทก์ได้ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน