คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซื้อแผ่นพลาสติกพร้อมติดตั้งจากโจทก์เพื่อใช้ปูบ่อบำบัดน้ำเสียของจำเลยโจทก์ส่งมอบงานปูแผ่นพลาสติกในบ่อบำบัดน้ำเสียให้จำเลยเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจำเลยใช้บ่อบำบัดน้ำเสียได้ประมาณ 2 ถึง 3 เดือน แผ่นพลาสติกที่ปูไว้ได้โป่งพองลอยขึ้นอันเป็นความบกพร่องซึ่งไม่พึงพบได้ในขณะเมื่อส่งมอบ โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 598 โดยจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างไว้ได้แต่เพียงเพื่อให้โจทก์แก้ไขซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเท่านั้น เมื่อโจทก์ติดต่อกับจำเลยขอเข้าไปแก้ไขซ่อมแซมหลายครั้ง แต่จำเลยไม่ยอมโดยอ้างถึงความจำเป็นที่ต้องใช้บ่อบำบัดน้ำเสียดังกล่าว ไม่สามารถสูบน้ำออกจากบ่อได้เพราะจะทำให้เสียรายได้ ถือเป็นข้ออ้างที่ไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับจ้างจะสามารถดำเนินการได้โดยลำพัง ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องของงานได้จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างที่ค้างชำระอีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาซื้อแผ่นพลาสติกพีวีซีสีดำ พร้อมติดตั้งในพื้นที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร รวมเป็นเงิน 1,111,500 บาท จากโจทก์ จำเลยชำระเงินมัดจำ 444,600 บาท ในวันทำสัญญาแก่โจทก์ ส่วนราคาที่เหลือชำระเมื่อติดตั้งเสร็จและจำเลยรับมอบงานจากโจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์ติดตั้งแผ่นพลาสติกแล้วเสร็จเป็นพื้นที่ 14,798 ตารางเมตร เป็นเงิน 1,265,229 บาท จำเลยได้รับมอบงานไว้ถูกต้องแล้ว เมื่อหักเงินมัดจำออกจำเลยต้องชำระเงิน 820,629 บาทแก่โจทก์โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 940,133.90 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 820,629 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า งานที่โจทก์ส่งมอบยังไม่เสร็จ งานบางส่วนยังไม่ทำ งานบางส่วนทำไม่เรียบร้อย งานบางส่วนยังต้องเก็บงาน จำเลยได้แจ้งให้แก้ไขเป็นเวลาล่วงเลยมานานแต่โจทก์ไม่แก้ไข จำเลยจำเป็นต้องใช้บ่อเก็บน้ำ แต่รอยเชื่อมแผ่นพลาสติกชำรุดบกพร่องมีน้ำรั่วซึม แผ่นพลาสติกโป่งจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบ แต่โจทก์ไม่ซ่อมแซมแก้ไข จึงเป็นความผิดของโจทก์ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงและขอสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 820,629 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540) ต้องไม่เกิน119,504.09 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันว่าจำเลยซื้อแผ่นพลาสติกพร้อมติดตั้งจากโจทก์ เพื่อใช้ปูบ่อบำบัดน้ำเสีย2 บ่อ ของจำเลยและชำระเงินมัดจำ 444,600 บาทแก่โจทก์ ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาวันที่ 19 ธันวาคม 2538 โจทก์ส่งมอบงานปูแผ่นพลาสติกทั้งสองบ่อรวมพื้นที่ 14,798 ตารางเมตร เป็นเงิน 1,265,229 บาท เมื่อหักเงินมัดจำที่โจทก์รับไว้แล้ว โจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินที่เหลืออีก 820,629 บาท หลังจากนั้นจำเลยใช้บ่อทั้งสองบำบัดน้ำเสียได้ประมาณ 2 ถึง 3 เดือน แผ่นพลาสติกที่ปูไว้ได้โป่งพองลอยขึ้นจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ได้ส่งพนักงานมาและแจ้งให้จำเลยสูบน้ำออกจากบ่อบำบัดน้ำเสียเพื่อจะซ่อมแซม แต่จำเลยไม่ยอมสูบน้ำออกจากบ่อดังกล่าว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ผิดสัญญาอันเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงไม่ชำระค่าจ้างได้หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า การรับมอบงานเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการรับมอบงานชั่วคราว หลังจากนั้นโจทก์ไม่เคยมาแก้ไขข้อชำรุดบกพร่องของงานให้เสร็จเรียบร้อย จำเลยไม่เคยรับมอบงานจากโจทก์ การที่จำเลยปล่อยน้ำเสียลงไปในบ่อและไม่สามารถสูบน้ำออกจากบ่อทั้งสองได้เป็นเพราะความผิดของโจทก์นั้น ได้ความว่า จำเลยตกลงซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ โดยทำสัญญาซื้อขายกันประมาณเดือนเมษายน 2538 ต่อมาเดือนพฤษภาคมโจทก์ได้ดำเนินการติดตั้งแผ่นพลาสติกตามสัญญาซื้อขายให้จำเลยเสร็จ ในวันที่ 19กันยายน 2538 ได้ติดต่อเพื่อส่งมอบงานให้กับจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับงานในตอนแรก อ้างว่ามีงานบางจุดต้องซ่อมแซม ต่อมาโจทก์ได้เข้าไปซ่อมแซมแก้ไขจุดที่บกพร่องเสร็จเรียบร้อย และส่งมอบงานให้แก่จำเลยในวันที่ 19 ธันวาคม 2538 พร้อมทั้งได้วางบิลไว้ตามเอกสารหมาย จ.7 และในวันที่ 20 ธันวาคม 2538 โจทก์ได้มอบหนังสือสัญญาค้ำประกันผลงานให้จำเลยไว้ด้วย ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่า งานส่วนใดที่ไม่เรียบร้อย ซึ่งหากเป็นส่วนที่สำคัญเกี่ยวกับแผ่นพลาสติกที่โจทก์ปูไว้ในบ่อแล้ว จำเลยย่อมเห็นได้ว่าหากปล่อยน้ำเสียลงในบ่อจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ เป็นการยากที่แก้ไขซ่อมแซม และคงไม่ยอมรับงานดังกล่าวไว้อย่างแน่นอนคดีน่าเชื่อว่าในวันที่ 19 กันยายน 2538 จำเลยตรวจพบจุดบกพร่องของงานจึงไม่ยอมรับมอบงานจากโจทก์ แต่เมื่อโจทก์แก้ไขซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ ในวันที่ 19ธันวาคม 2538 จำเลยจึงยอมรับมอบงานและรับใบวางบิลตลอดจนรับหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7, จ.17 และ จ.18 จากโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยใช้บ่อดังกล่าวโดยปล่อยน้ำเสียลงไป จึงไม่ได้เกิดจากความผิดของโจทก์ตามที่จำเลยฎีกา แต่เมื่อได้ความว่า หลังจากนั้นประมาณ 2 ถึง 3 เดือน งานที่จำเลยรับมอบจากโจทก์ดังกล่าวเกิดการชำรุดบกพร่องซึ่งไม่พึงพบได้ ในขณะเมื่อรับมอบและจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์จึงยังต้องรับผิดต่อจำเลยอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 598 โดยจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างไว้ได้แต่เพียงเพื่อให้โจทก์แก้ไขซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับกันว่า โจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยขอเข้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วหลายครั้ง ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.9,จ.10, จ.11, จ.13 และ จ.14 แต่จำเลยไม่ยอมโดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้บ่อบำบัดน้ำเสียดังกล่าว จึงไม่สามารถสูบน้ำออกจากบ่อได้ หากไม่สามารถใช้บ่อได้จะเสียรายได้มากและต้องลดการผลิตลง โจทก์เป็นฝ่ายผิดต้องสูบน้ำเสียออกจากบ่อเอง เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์ ซึ่งเป็นเพียงผู้รับจ้างจะสามารถดำเนินการได้โดยลำพัง การที่โจทก์ไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องของงานได้ จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างที่ค้างชำระอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share