คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีผู้ร้องสอดเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ภายหลังการใช้บรรพนี้แล้วจำเลยยังได้โจทก์เป็นภริยาอีก แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ภริยาแต่ละคนของจำเลยมีถิ่นที่อยู่ต่างตำบลกันและมีทรัพย์สินอยู่ ณ ตำบลที่อยู่ของแต่ละคน แสดงว่าได้แบ่งแยกกันเป็นส่วนสัดแล้ว ทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกันหรือทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีอำนาจเอาไปขายทั้งหมดโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทรัพย์สินเหล่านี้มา โจทก์จึงมีส่วนได้กึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ทำมาหาได้ทรัพย์ร่วมกันตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง โจทก์มีสิทธิในฐานเจ้าของร่วมกึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 ได้โอนขายทรัพย์อันดับ 1 และ 2 ให้จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต ฯลฯ ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ฯลฯและให้จำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์อันดับ 1 ถึง 17 ให้โจทก์กึ่งหนึ่งถ้าแบ่งกันไม่ตกลงก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง

เกี่ยวกับทรัพย์อันดับ 1 และ 2 นี้ จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 และได้ขายให้จำเลยที่ 2ไปโดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิตามกฎหมาย

ทรัพย์อันดับ 1 และ 2 นี้ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน (และกล่าวได้ด้วยว่า มีปัญหาว่าโจทก์ควรจะได้รับส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งหรือ 1 ใน 3 เพราะปรากฏว่าโจทก์ยังมีนางเมี้ยนผู้ร้องสอดเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งยังมิได้หย่าร้างกันอยู่ด้วย ทรัพย์ดังกล่าวนี้ในขณะเดียวกัน จึงเป็นสินสมรสระหว่างนางเมี้ยนกับจำเลยที่ 1 อยู่ด้วย การแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ใช้หลักกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งโดยปกติก็ต้องแบ่งคนละครึ่ง ส่วนการแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ซึ่งแล้วแต่ว่าหญิงชายมีสินเดิมหรือไม่มิได้ถือหลักกรรมสิทธิ์รวม ส่วนได้ของนางเมี้ยนผู้ร้องสอดจึงไม่ใช่ฐานะเจ้าของร่วม แต่ได้ในฐานะเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ที่เหลือครึ่งหนึ่งจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องสอด) พิพากษาว่าสัญญาซื้อขายทรัพย์อันดับ 1 และ 2 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ไม่ผูกพันส่วนของโจทก์

โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เฉพาะโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์อันดับ 1และ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์ 2 รายการนี้เท่านั้น โจทก์จึงมีส่วนได้อยู่กึ่งหนึ่ง ทรัพย์อื่นโจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พิพากษาแก้ให้เอาทรัพย์อันดับ 1 และ 2 ประมูลในระหว่างกันเองถ้าไม่ตกลงกันก็ให้ขายทอดตลาด ได้เงินเท่าใดแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์อันดับ 1 เป็นเรือนที่สร้างขึ้นเมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้อยู่กินด้วยกัน และโจทก์ได้แยกมาจากนางเมี้ยนภริยาหลวงของจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้อาศัยอยู่ในเรือนนี้ด้วย ฟังได้ว่าเป็นทรัพย์ร่วมกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ทรัพย์อันดับ 2 คือโรงสี ก็ฟังได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันมาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และคดีได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีภริยาถึง 3 คน คือ นางเมี้ยน นางเทียม และโจทก์ภริยาทั้ง 3 คนนี้ต่างมีถิ่นที่อยู่คนละตำบล และมีทรัพย์สินอยู่ณ ตำบลที่แต่ละคนมีถิ่นที่อยู่ แสดงว่าได้แบ่งแยกเป็นส่วนสัดกันมาแล้ว ทรัพย์อันดับ 1 และ 2 โจทก์เป็นเจ้าของร่วม จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจเอาไปขายทั้งหมด โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทรัพย์อันดับ 1 และ 2 นี้มาโจทก์จึงมีส่วนได้กึ่งหนึ่งในทรัพย์ 2 รายการนี้

ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืน

Share