แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน วิ่งราว ทรัพย์ แต่ ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ ข้อสำคัญในความผิดฐาน วิ่งราว ทรัพย์กับยักยอกทรัพย์ก็คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดย เจตนาทุจริตเช่นเดียว กัน ต่างกันแต่ เพียงวิธีการเอาไปคือด้วย วิธีฉกฉวย เอาซึ่งหน้ากับด้วย วิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงมิใช่แตกต่าง กันในข้อสาระสำคัญอันจะลงโทษจำเลยมิได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 นั้น เป็นเรื่องศาลฟังข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องและเป็นการแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ศาลจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องวิ่งราวทรัพย์และยักยอกทรัพย์คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริตเช่นเดียวกันคงแตกต่างกันแต่เพียงเอาทรัพย์ไปโดยวิธีการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าหรือด้วยวิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และทั้งจำเลยให้การต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่จำเลย จึงมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ที่จำเลยฎีกาว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ให้ศาลลงโทษจำเลยได้ในการกระทำความผิดในมาตราอื่นที่ไม่ได้ขอให้ลงโทษอันอยู่ในหมวดความผิดเดียวกัน ถ้าหากต่างหมวดความผิดกันจะต้องบัญญัติให้อำนาจไว้เช่นความผิดโดยเจตนากับประมาท นั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติขยายความคำว่าข้อสาระสำคัญในวรรคสอง ให้เข้าใจว่าถ้าหากข้อแตกต่างเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ แต่ถ้าแตกต่างกันเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องให้ถือว่าแตกต่างกันมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และในวรรคสามยังได้ยกตัวอย่างไว้ว่าเช่นอะไรบ้างที่ให้ถือว่าไม่ใช่ข้อสาระสำคัญสำหรับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ก็คือความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กิริยาฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ดังนั้นข้อแตกต่างกันระหว่างการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และยักยอก จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคใด ย่อมไม่ถูกต้องเพราะความในสองวรรคแตกต่างกันและโทษไม่เท่ากัน จึงควรกำหนดเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.