คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างชัดแจ้งว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์เนื้อที่ 30 ตารางวา และปลูกบ้านเลขที่ 16/4 บนที่ดินดังกล่าวอยู่อาศัยตลอดมาโดยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 16/4 ออกไปจากที่ดินโจทก์ที่จำเลยทำสัญญาเช่ามา มิได้ขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์เนื้อที่เกินกว่า 30 ตารางวาแม้จะกล่าวอ้างด้วยว่าที่ดินที่จำเลยเช่าเป็นแปลงเดียวกับที่ดินเนื้อที่ 11 ไร่เศษ และจำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องจำเลยมีสิทธิครอบครองอยู่ 4 ไร่ โดยโจทก์มอบให้เพื่อชำระราคาที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์ แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่า จำเลยครอบครองที่ดินในส่วนที่เกินกว่า 30 ตารางวา คงพิพาทและบังคับกันได้เฉพาะที่พิพาทตามฟ้องเนื้อที่ 30 ตารางวา ศาลย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยเลยไปถึงว่าให้จำเลยออกไปจากที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่เศษของโจทก์ได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่ปรากฎในคำฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.๓ ก. เลขที่๑๐๐ เนื้อที่ ๑๑ ไร่เศษ จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ ๓๐ ตารางวาจากโจทก์เพื่อปลูกบ้าน มีกำหนด ๓ ปี ค่าเช่าปีละ ๖ บาท หลังจากจำเลยทำสัญญาเช่าแล้ว จำเลยได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๑๖/๔ บนที่เช่า โดยจำเลยพร้อมทั้งครอบครัวและบริวารอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวจนครบกำหนดเวลาเช่าแล้วยังคงอาศัยอยู่บนที่เช่าและชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมา โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยเช่าต่อไปจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายครอบครัวและบริวารออกไปจากที่เช่า จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๖/๔ พร้อมทั้งขนย้ายครอบครัวบริวารและทรัพย์สินของจำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินจำนวน ๑๑ ไร่แต่ครอบครองเพียง ๗ ไร่ ส่วนอีก ๔ ไร่ จำเลยครอบครองสร้างบ้านอาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ปราศจากการรบกวนการครอบครองเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว เพราะโจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยเพื่อชำระราคาที่ดินสวนยางพารา ๓๐ ไร่ ของจำเลยที่ขายให้แก่โจทก์ เมื่อปี ๒๕๑๙ สัญญาเช่าเป็นการเช่าที่ดินเพียง ๓๐ตารางวา และยกเลิกกันแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่๑๖/๔ ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่พิพาท ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จนกว่าจะรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๖/๔ออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาเช่า-ที่ดินจากโจทก์เพื่อปลูกบ้านเนื้อที่ ๓๐ ตารางวา แม้จะกล่าวอ้างด้วยว่าที่ดินที่จำเลยเช่าเป็นแปลงเดียวกับที่ดินเนื้อที่ ๑๑ ไร่เศษที่โจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ แต่คำฟ้องตอนต่อไปก็กล่าวอ้างว่าหลังจากจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์แล้วจำเลยปลูกบ้านเลขที่ ๑๖/๔ บนที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่อาศัยตลอดมา และคำขอบังคับก็ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๖/๔ ออกไปจากที่ดินโจทก์ จึงมีความหมายชัดแจ้งว่าที่พิพาทซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยคือที่ดินที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพื่อปลูกบ้านดังกล่าวเป็นเนื้อที่ ๓๐ ตารางวา แม้จำเลยจะยื่นคำให้การว่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยมีสิทธิครอบครองอยู่ ๔ ไร่ โดยโจทก์มอบให้เพื่อชำระราคาที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์ แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าจำเลยครอบครองที่ดินในส่วนที่เกินกว่า ๓๐ ตารางวา คงพิพาทและบังคับกันได้เฉพาะที่พิพาทตามฟ้องเนื้อที่ ๓๐ ตารางวา ไม่อาจบังคับกันได้ในจำนวนเนื้อที่เกินกว่านั้น จำนวนทุนทรัพย์จึงต้องตีราคาจากที่พิพาทเนื้อที่ ๓๐ ตารางวาซึ่งมีราคาไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงต้องยุติตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดิน ๓๐ ตารางวาของโจทก์จากโจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้กล่าวอ้างจำนวนเนื้อที่ดินดังกล่าวมาในฟ้องคำพิพากษาศาล-อุทธรณ์ภาค ๓ จึงขัดต่อกฎหมายดังกล่าว เห็นว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงมาว่าจำเลยสร้างบ้านเลขที่ ๑๖/๔ บนที่พิพาท แล้ววินิจฉัยต่อมาว่าที่ดินตามเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.๑ เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา เป็นของโจทก์ และพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๖/๔ และขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจากที่พิพาทเนื้อที่ ๓ ไร่เศษได้นั้น เมื่อคำฟ้องกล่าวอ้างชัดแจ้งว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์เนื้อที่ ๓๐ ตารางวาและปลูกบ้านเลขที่ ๑๖/๔ บนที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่อาศัยตลอดมาโดยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๖/๔ ออกไปจากที่ดินโจทก์ที่จำเลยทำสัญญาเช่ามา มิได้ขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์เนื้อที่เกินกว่า ๓๐ ตารางวาเช่นนี้และคดีไม่มีประเด็นพิพาทว่าจำเลยครอบครองที่ดินในส่วนที่เกิน ๓๐ ตารางวาตามฟ้อง ศาลย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยเลยไปถึงว่าให้จำเลยออกไปจากที่ดินเนื้อที่ ๓ ไร่เศษของโจทก์ได้เเพราะเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่ปรากฎในคำฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับที่พิพาทมีเนื้อที่ ๓๐ ตารางวา ตามบริเวณที่ระบายสีเหลืองในแผนที่วิวาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓

Share