คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประเด็นข้อพิพาทในคดีแพ่งที่ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่เป็นประเด็นอันเป็นข้อสำคัญแห่งคดี แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งเท่านั้น ไม่อาจนำผลของคำวินิจฉัยในคดีแพ่งมาผูกพันคำวินิจฉัยในคดีอาญาได้ คงเป็นพยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่ศาลในคดีอาญาจะต้องนำมาชั่งน้ำหนักประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานเบิกความเท็จจริงหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2538 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 เบิกความเท็จในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1939/2538 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดิน 4 แปลง รวมทั้งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ดิน 61 ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีชื่อนางชั้วพี่สาวโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จากโจทก์ และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2538 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จในคดีดังกล่าวด้วยว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อที่ดินข้างต้นจากโจทก์ ความจริงแล้วโจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1 เพียง 3 แปลง โจทก์ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสอง และโจทก์ไม่เคยบอกจำเลยทั้งสองว่านางชั้วพี่สาวโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แล้วโจทก์จึงนำมาขายให้แก่จำเลยทั้งสองคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดี โดยหากศาลเชื่อตามที่จำเลยทั้งสองเบิกความ จำเลยที่ 1 ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์ต้องออกจากที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 3 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา เดิมมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1085 ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มีชื่อนางชั้ว เมืองสุวรรณ พี่สาวโจทก์เป็นผู้ครอบครอง ต่อมาที่ดินดังกล่าวได้มีการออกเป็นโฉนดเลขที่ 16471 มีชื่อนางชั้วเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเบิกความเท็จอันเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยทั้งสองได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้เคยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1939/2538 ของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทมาจากโจทก์ และในคดีดังกล่าวศาลวินิจฉัยไม่เชื่อข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 นำสืบและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เห็นว่า แม้ประเด็นข้อพิพาทในคดีแพ่งดังกล่าวที่ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่จะเป็นประเด็นอันเป็นข้อสำคัญแห่งคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวก็มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งเท่านั้น ไม่อาจนำผลของคำวินิจฉัยในคดีแพ่งดังกล่าวมาผูกพันคำวินิจฉัยในคดีอาญาได้ คงเป็นพยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่ศาลในคดีนี้จะต้องนำมาชั่งน้ำหนักประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในคดีนี้แล้ว คงมีแต่คำเบิกความของพยานโจทก์ที่อ้างคำวินิจฉัยและผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าว โจทก์หาได้นำสืบให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่าเป็นเช่นไร เหตุใดโจทก์ซึ่งได้รับการยกให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจากนางชั่วจึงต้องทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าหนังสือสัญญาเช่า เอกสารหมาย ล.1 ไม่สมบูรณ์อย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยทั้งสองได้นำสืบต่อสู้ไว้ในคดีแพ่งแล้วโจทก์ควรที่จะได้หาพยานหลักฐานมาหักล้างข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองและพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งสองให้หนักแน่นมั่นคงเพื่อแสดงว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีแพ่งดังกล่าว ลำพังเพียงแต่อ้างคำวินิจฉัยและผลคำพิพากษาในคดีแพ่งย่อมไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share