คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ได้ใช้ทางภารจำยอมโดยใช้กระบือและล้อเกวียนผ่านไปทำนาของตนเพียงชั่วระยะเวลาไถหว่านปักดำ ปลูกข้าวแล้วไม่ได้ใช้ผ่านอีกจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวจึงใช้ผ่านไปเก็บเกี่ยวแล้วใช้เกวียนบ้าง ล้อบ้างขนข้าวจากนากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน ดังนี้ ทางอันอยู่ในที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์ย่อมตกอยู่ในภารจำยอมเพียงชั่วระยะเวลาแห่งการทำนาตอนหนึ่งและในระยะเวลาตอนเก็บเกี่ยวและขนข้าวอีกตอนหนึ่งเท่านั้นหาใช่ตกเป็นภารจำยอมตลอดทั้งปีไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายโต นางสี และนางแก้วเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินมีโฉนดของนางแก้วอีกแปลงหนึ่งและในที่ดินของนางแก้วแปลงนี้มีทางเดิน กว้าง ๘ ศอก ซึ่งนายโต นางสีใช้เดินเข้าออกนำกระบือล้อเกวียนไปทำนาขนข้าวเข้าบ้าน โดยนางแก้วมิได้ห้ามปรามเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว เมื่อนายโต นางสี ตาย บรรดาลูกหลานรวมทั้งโจทก์ที่รับมรดกต่างก็ยังคงใช้ทางนี้ผ่านเข้าออกไปทำนาเป็นปกติไม่มีใครห้ามปราม จึงเป็นทางภารจำยอมมาจนทุกวันนี้ ครั้นเมื่อเดือน ๖ พ.ศ. ๒๕๑๑จำเลยซึ่งรับโอนที่ดินที่มีทางเดินผ่านนี้จากนายสำเนียงหลานนางแก้วมาโดยไม่สุจริต ได้ขุดดินที่เป็นทางเดินขึ้นเป็นคู แล้วจำเลยหว่านข้าวลงในคูน้ำเป็นการปิดทาง เป็นเหตุให้โจทก์ใช้ล้อเกวียนและสัตว์พาหนะไปทำนาไม่ได้ จึงขอให้จำเลยกลบคูที่ขุดให้เป็นทางเดินตามสภาพเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และโอนสิทธิทางทะเบียนชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีทางภารจำยอม คงมีแต่ทางคนเดินกว้างประมาณ ๒ ศอก ที่โจทก์ขออาศัยจำเลย และโจทก์ไม่เคยใช้ล้อเกวียนไปทำนา รางน้ำที่จำเลยขุดไม่ใช่ทางเดินมาก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์นำกระบือล้อและเกวียนจากบ้านโจทก์ผ่านนาจำเลยและนาผู้อื่นไปยังนาโจทก์มาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว จึงเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความ พิพากษาให้จำเลยกลบคูให้เป็นทางสภาพเดิม
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นทางภารจำยอม แต่โจทก์ใช้กระบือล้อและเกวียนผ่านไปปลูกและหว่านข้าวตอนหนึ่ง และขนข้าวกลับเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จอีกตอนหนึ่งเท่านั้น พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยเปิดทางให้โจทก์ใช้เมื่อโจทก์จะนำกระบือ ล้อ เกวียนไปตอนไถและปลูกข้าวตอนหนึ่งและเมื่อโจทก์เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วขนข้าวกลับมาอีกตอนหนึ่ง
โจทก์ฎีกามีปัญหาวินิจฉัยเพียงว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมเฉพาะฤดูในปีหนึ่ง ๆ หรือตลอดปี
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความตามพยานโจทก์ว่า ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ได้ใช้ทางภารจำยอมเพื่อผ่านไปทำนาของตนภารยทรัพย์ซึ่งเป็นของจำเลยก็เป็นนาแต่เป็นนาดอน ลงมือไถหว่านในเดือน ๗-๘ฝ่ายโจทก์ใช้ทางภารจำยอมผ่านไปไถหว่านนาของตนซึ่งเป็นนาลุ่มกว่าตั้งแต่เดือน ๖ การทำนาของฝ่ายจำเลยได้ทำในทางภารจำยอมนั้นด้วย เมื่อทำนาแล้วฝ่ายโจทก์ไม่ได้ผ่านทางภารจำยอม จนถึงฤดูเกี่ยวข้าว เดือน ๑๒ มีการเกี่ยวข้าวในนาของจำเลยเสร็จก่อนแล้ว ฝ่ายโจทก์จึงเกี่ยวข้าวในนาของฝ่ายตนในเดือนอ้าย แล้วใช้เกวียนบ้าง รถยนต์บ้าง ขนข้าวจากนาผ่านทางนั้นไปบ้านซึ่งอยู่ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ที่ดินทั้งสองแปลงยังเป็นของเจ้าของเดิม ดังนี้ แสดงโดยชัดเจนว่าทางอันเป็นภารจำยอมนั้นมิได้ตกเป็นภารจำยอมตลอดปี คงตกอยู่ในภารจำยอมเฉพาะชั่วระยะเวลาในปีหนึ่ง ๆ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเมื่อไถหว่านเสร็จโจทก์ยังต้องออกไปดูแลข้าวที่หว่านไว้ จะให้จำเลยกลบคูชั่วระยะเวลาหนึ่งเป็นการไม่สะดวกนั้น ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ภารจำยอมขยายมากขึ้นได้ภารจำยอมอันได้มาโดยอายุความมีอยู่แต่ไหนเพียงไรก็คงมีเพียงเท่านั้นที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ใช้ทางนี้เป็นประจำอยู่ตลอดปี ไม่ใช่ชั่วครั้งคราว ก็เป็นการเถียงฝ่าฝืนต่อถ้อยคำของพยานโจทก์เอง ที่โจทก์อ้างว่าศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้นที่จริงศาลอุทธรณ์ได้ชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีอยู่แล้ว หากไม่เต็มตามคำขอเท่านั้น
พิพากษายืน

Share